วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ระบบศักดินา

ศักดินา



ระบบศักดินาธิปไตย ปรสิตที่เกาะกินประเทศไทยนับ ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบบการปกครอง ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ โดยคณะราษฎรซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นได้คืนอำนาจสู่มหาชนอย่าง แท้จริง เพราะเป็นการถ่ายโอนอำนาจจากกลุ่มศักดินาที่คุมอำนาจในการปกครองประเทศมา เป็นระยะเวลาช้านาน โดย ผู้เขียนจะเรียกว่าการปกครองระบบนี้ว่าระบบศักดินาธิปไตย และภายหลังการเปลี่ยแปลงการปกครองแล้วคณะ ราษฎรได้เข้ามาจัดการเปลี่ยแปลงประเทศครั้งใหญ่ ผลประโยชน์เดิมและอภิสิทธิที่เคยถูกระบบศักดินายึดเอาไป แต่เพียงกลุ่มเดียวถูกนำมาจัดสรรกระจายให้กับประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ มีการยึดทรัพสินย์เข้าเป็นของ แผ่นดินอภิสิทธิต่าง ๆ ที่กลุ่มศักดินาธิปไตยเคยได้รับถูกกำจัด ทั้งนี้เพื่อความเสมอภาคและประโยชน์ของประชาชน ซึ่งการปฏิบัติดังกล่าวของคณะราษฎรได้สร้างความโกรธแค้นให้กับกลุ่มศักดินา ธิปไตยเป็นอย่างมาก เพราะกลุ่ม ศักดินาธิปไตยได้สูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ที่เคยได้รับแต่เพียงกลุ่มเดียว มาโดยตลอด จนมีการพยามยามที่จะ แย่งชิงเอาอำนาจกลับคืนสู่กลุ่มศักดินาธิปไตย ดังจะเห็นได้จากมีการก่อกบฐพระองค์เจ้าวรเดชขึ้น เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๗๖ แต่ประสพกับความล้มเหลว แต่ในที่สุดเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๘๙ เมื่อจอมพลป. พิบูลสงคราม ร่วมมือกับ นายควง อภัยวงค์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ร่วมกัน ก่อการรัฐประหารขับไล่รัฐบาลของประชาชน และหลัง จากนั้นระบบศักดินาธิปไตยก็ได้ถูกสถาปนาขึ้นในประเทศ ไทยอย่างมั่นคง

ภายหลังที่ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลของประชาชนแล้ว ระบบศักดินาธิปไตยจึงได้คืนอภิสิทธิและ ผลประโยชน์กลับคืนสู่กลุ่มอภิสิทธิชนเดิม พร้อมกับการปกป้องกลุ่มอภิสิทธิชนอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน และ เพื่อให้อำนาจตกอยู่ภายใต้การปกครองของระบบศักดินาธิปไตยอย่างมั่นคงและ ยั่งยืน จึงมีการจัดตั้งองค์กรขึ้นมา เพื่อแทรกแซงอำนาจของรัฐบาล นั้นคือคณะอภิมนตรีซึ่งต่อมาภายหลังมีการเปลี่ยนเป็นคณะองคมนตรี นอกจากนี้ ระบบศักดินาธิปไตยยังครอบงำระบบราชการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการทหาร เพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการ รักษาอำนาจของระบบศักดินาธิปไตย ดังจะเห็นได้จากมีรัฐบาลที่เข้มแข็งและเป็นที่นิยมของประชาชน ก็จะมีการ ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจเกิดขึ้น สำหรับวิธีการรอบงำของนั้น ระบบศักดินาธิปไตยจะแต่ตั้ง บุคคลที่สามารถ ควบคุมได้ให้ดำรงค์ตำแหน่งในหน่วยที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ระบบศักดินาธิปไตยจึงจำเป็นที่จะต้องอุปโลกระ บอบการปกครองขึ้นมา โดยมีการอ้างว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงฉากบังหน้า มีการจัดตั้งพรรคการเมืองที่สามารถควบคุมและสั่งการได้นั่นก็คือพรรคประชาธิ ปัตย์ มีการเลือกตั้งแต่ก็มิได้ให้ความสำคัญกับตัวแทนของประชาชน และยังทำลายภาพลักษณ์ของตัวแทนของประชาชน ให้เสียหาย เช่นมีการกล่าวหาว่าตัวแทนของประชาชนมีการทุจริต ฉ้อราษฎรบังหลวง ทำเพื่อผลประโยชน์ตนเอง และนอกจากที่จะทำลายภาพลักษณ์ของตัวแทนของประชาชนแล้ว ยังทำลายภาพลักษณ์ของประชาชนด้วยการ กล่าวหาว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ว่าไร้การศึกษาขาดความรู้ความเข้าใจในระบบการปกครองแบบประชา ธิปไตยสามารถใช้เงินซื้อเสียงได้ และในขณะเดียวกันก็มีการศร้างภาพลักษณ์ของบุคคลในระบบศักดินาธิปไตยว่า เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ มีความเสียสละ เป็นผู้ที่มีคุณธรรมจริยะธรรม กระทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประเทศชาติ และประชาชน ซึ่งเป็นการสร้างความชอบธรรมให้ระบบศักดินาธิปไตยในการที่จะแต่งตั้งบุคคล ของตนเองให้เข้า มาแทรกแซงการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ระบบศักดินาธิปไตยคือกลุ่มชนที่รังเกียจกอบโกย ผลประโยชน์ทุกอย่างเป็นของ ตนเอง กดขี่ข่มเหงประชาชน เข่นฆ่าประชาชนเพียงเพื่อรักษาอำนาจของตนเอง
นอกจากการครอบงำทางด้านการเมืองการปกครองแล้ว ระบบศักดินาธิปไตยยังครอบงำระบบเศรษฐกิจ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนที่สนับสนุนกลุ่มอำนาจ ซึ่งจะเห็นได้จากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนมาก จะอาศัยความได้เปรียบจากการผูกขาดระบบสัมปะทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจการเงินและธนาคารซึ่ง ล้วนแล้วแต่ได้รับผลประโยชน์จากการกำหนดนโยบายจากระบบศักดินาธิปไตยทั้งสิ้น
ระบบ ศักดินาธิปไตยยังแผ่ขยายอิทธิพลของตนเองเข้าครอบงำระบบการศึกษาของประเทศอีก ด้วย ซึ่งวิธี การที่ใช้คือก็เหมือนกับการครอบงำระบบราชการนั่นก็คือ การส่งบุคคลในกลุ่มของตนเองเข้าไปแทรกซึมใน ระบบการศึกษาและวิจัยของประเทศ ทั้งในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานจนถึงระดับอุดมศึกษา ทั้งนี้เพราะระบบ ศักดินาธิปไตย เล็งเห็นว่าลำพังการใช้กำลังทหารและพรรคการเมืองของตนเองนั้นไม่สามารถที่จะ ปกครองประ เทศได้อย่างมั่นคง เพราะถ้าประชาชนมีการศึกษามากขึ้นก็จะทราบถึงความชั่วร้ายที่ระบบศักดินา ธิปไตยได้กระทำ ไว้กับประเทศ ดังนั้นเพื่อให้ง่ายต่อการปกครองประเทศไทยจึงจำเป็นที่จะต้องเตรียมการปลูก ฝังให้ประชาชนเคารพ และเชื่อฟังอำนาจของระบบศักดินาธิปไตยตั้งแต่ยังเป็นนีกเรียนนักศึกษา เพราะนักเรียนและนักศึกษานั้นง่ายต่อ การโน้มน้าวจิตใจเนื่องจากอ่อนประสบการณ์ชีวิต
นอกจากจะครอบงำระบบการศึกษาของประเทศได้แล้ว ระบบศักดินายังมีวิศัยทัศน์ที่กว่างไกลมายิ่งขึ้น เพราะเมื่อนักเรียนนักศึกษาจบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาแล้วนั้น โอกาศที่ประชาชนจะค้นพบความจริงว่าแท้ ที่จริงแล้วต้นตอของปัญหาของชาติไม่ได้อยู่ที่นักการเมือง,ประชาชน แต่ต้นตอของปัญหานั้นอยู่ที่ระบบศักดินาธิป ไตยต่างหาก เพื่อให้การครอบงำและปกครองประชาชนเป็นอย่างมั่นคงระบบศักดินาธิปไตยจึงเข้า ครอบงำระบบ สื่อสารมวลชนของประเทศ ตั้งแต่สื่อโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ แม้แต่กระทั่งนิตยสารรายเดือนเพื่อความบันเทิง เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารเป็นไปตามความต้องการและตอบสนองอำนาจของระบบศักดินา ธิปไตยแต่ ที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่าระบบศักดินาธิปไตยจะเหิมเกริมกล้าที่จะเข้า ครอบงำก็คือ การที่ระบบ ศักดินาธิปไตยเข้าครอบงำและบงการระบบยุติธรรมของประเทศ ซึ่งเป็นระบบที่มีความสำคัญที่สุดในการปกครอง และบริหารประเทศ ถ้าระบบยุติธรรมไม่มีความยุติธรรมอย่างแท้จริง ประชาชนก็จะไม่มีที่พึ่งอีกต่อไป เมื่อประชา ชนไม่มีที่พึ่งแล้วนั้น หนทางสุดท้ายที่จะสามารถเรียกร้องความยุติธรรมกลับคืนมาได้ก็คือ การใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกัน ซึ่งนั้นก็คือความล่มสลายของประเทศนั่นเอง แต่ระบบศักดินาธิปไตยก็ไม่คำนึงถึงปัญหาดังกล่าว เพียงเพื่อที่จะ รักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตนเอง ระบบศักดินาธิปไตยจึงลากเอาระบบยุติธรรมที่เป็นพึ่งสุดท้ายของประชา ชน เข้ามาเป็นเครื่องมือในการทำลายล้างประชาชนที่ไม่ยอมสยบอยู่ใต้อำนาจของตน เอง จนเป็นเหตุให้ประเทศไทย ต้องพบกับความล่มสลายอย่างเช่นทุกวันนี้


กล่าวโดยสรุป
ระบบศักดินาธิปไตยนั้น คือระบบของอภิสิทธิชน ที่ต้องการรวบเอาออำนาจและผล ประโยชน์ของประเทศชาติไว้เป็นของตนเองและพวกพ้องเท่านั้น ดังนั้นระบบศักดินาธิปไตยจึงต้องใช้วิธีการต่าง ๆ ที่จะรักษาอำนาจของตนเองไว้ในกลุ่ม จึงไม่เห็นความสำคัญของประชาชน และที่สำคัญคือระบบศักดินาจะดำรงค์ อยู่ได้ก็ต่อเมื่อประชาชนที่เป็นเจ้าประเทศที่แท้จริง ไม่มีโอกาสที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองทั้งทางด้านเศรษฐ กิจและสังคม เพราะถ้าประชาชนสามารถที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตได้แล้วนั้น จะทำให้ประชาชนตระหนักถึง สิทธิ และเสรีภาพของตนเอง และจะเรียกร้องอำนาจอธิปไตยไปจากระบบศักดินาธิปไตยนั้นเอง ดังนั้นเพื่อให้ระบบ ศักดินาธิปไตยดำรงค์อยู่ได้จึงจำเป็นที่จะต้องกดหัวประชาชนส่วนใหญ่ของ ประเทศเอาไว้ โดยใช้วิธีการที่ผู้เขียน กล่าวเอาไว้ในข้างต้น เมื่อไม่สามารถที่จะปกครองและควบคุมประชาชนเอาให้สยบยอมอยู่ใต้อำนาจของตน เอง ระบบศักดินาธิปไตย จึงกระทำได้แม้กระทั่งการสังหารหมู่ประชาชนในกรณีเหตุการสลายการชุมนุมในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยไม่คำนึงถึงหลักการและสิทธิของประชาชนใดทั้งสิ้น เพียงเพื่อต้องการรักษาอำนาจของตนเองเอาไว้ เท่านั้น ดังนั้นระบบศักดินาธิปไตยจึงเปรียบเสมือนปรสิตที่เกาะกินประเทศไทย และเป็นระบบที่จะต้องถูกกำจัด ออกไปให้หมดสิ้นจากผืนแผ่นใดไทย ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนชาวไทยผู้เป็นเจ้าของ ประเทศอย่างแท้จริง



ที่มา : http://baanram.blogspot.com/2010/07/blog-post.h

ศักดินาไทย


ศักดินา คือ ตัววัดในการปรับไหม และ พินัย ในกรณีขึ้นศาล คนที่ถือศักดินาสูง เมื่อทำผิดจะถูกลงโทษหนักกว่าผู้มีศักดินาต่ำ การปรับในศาลหลวง ค่าปรับนั้นก็เอาศักดินาเป็นบรรทัดฐานการกำหนดระบบศักดินาขึ้นมาก็เพื่อ ประโยชน์ในการกำหนดสิทธิและหน้าที่ของประชาชน หน่วยที่ใช้ในการกำหนดศักดินา ใช้จำนวนไร่เป็นเกณฑ์ แต่มิได้หมายความว่าศักดินาจะเป็นข้อกำหนดตายตัวเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในการ ถือครองที่ดิน
ศักดินา ไม่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นวิธีการลำดับ"ศักดิ์"ของบุคคลตั้งแต่ พระมหาอุปราช ขุนนาง ข้าราชการ ลงไปจนถึงไพร่และทาส โดยกำหนดจำนวนที่นามากน้อยตามศักดิ์ของคนนั้น พระมหาอุปราชมีศักดินา 100,000 ไร่ และสูงสุดของขุนนางคือ ชั้นเจ้าพระยามีศักดินา 10,000 ไร่ คนธรรมดาสามัญมีศักดินา 25 ไร่ ทาสมีศักดินา 5 ไร่ เป็นต้น
ถ้า เทียบกันก็คล้ายกับ ซี ในระบบราชการปัจจุบัน ที่ทำให้รู้ว่าข้าราชการคนนั้นอยู่ในลำดับสูงต่ำกว่ากันแค่ไหน แต่ศักดินากว้างกว่าคือครอบคลุมทุกคนในราชอาณาจักรเว้นแต่พระมหากษัตริย์
ไม่ได้หมายความว่าคนในระบบศักดินามีที่ดินได้ตามจำนวนศักดินา ในความเป็นจริง ทาสไม่มีสิทธิ์ครอบครองทรัพย์สินที่ดินใด ๆ ทั้งนั้น
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา อาจกล่าวได้ว่าเป็นสังคมศักดินา เพราะในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991 - พ.ศ. 2031) พระองค์ได้ทรงตราพระราชกำหนดศักดินาขึ้นมาใช้อย่างเป็นทางการใน พ.ศ. 1997 โดย กำหนดให้บุคคลทุกประเภทในสังคมไทยมีศักดินาด้วยกันทั้งสิ้น นับตั้งแต่พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนางผู้ใหญ่ ลงไปถึงบรรดาไพร่ ทาส และพระสงฆ์ ยกเว้นองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งมิได้ระบุศักดินาเอาไว้ เพราะทรงเป็นเจ้าของศักดินาทั้งปวง

ระบบมาเนอร์หรือศักดินายุโรป

พื้นฐานและที่มาของระบบ
ระดับชั้นในระบบศักดินาของตะวันตกเป็นระบบสังคมและเศรษฐกิจที่เป็นระบบที่ ใช้ในสังคมของยุโรปอย่างกว้างขวางในยุคกลาง หัวใจของระบบคือการมอบดินแดนให้เป็นการแลกเปลี่ยนกับการสนับสนุนทางการทหาร
ธรรมชาติ ของระบบศักดินาเป็นระบบที่สร้างระดับชั้นในสังคม ที่ผู้มีส่วนร่วมต่างก็ทราบฐานะและหน้าที่ของตนในระบบสังคมนั้น ว่ามีความเกี่ยวข้องและรับผิดชอบต่อผู้ใดที่เหนือกว่า และต่ำกว่าตนเองอย่างใด การรักษาความสัมพันธ์ดังว่าเป็นไปตามการสืบดินแดนตามกฎบัตรต่างๆ หรือประเพณีที่วางไว้อย่างเคร่งครัด แต่กฎของประเพณีอันสำคัญที่สุดและปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดที่สุดคือกฎสิทธิ ของบุตรคนแรกซึ่งหมายความว่าสมบัติ/ที่ดินทุกอย่างของผู้ที่เสียชีวิตต้องตก เป็นของบุตรชายคนโตเท่านั้น
บุคคลในสังคมระบบศักดินาเป็น "บริวาร" (vassal) หรือ "ข้า" ของประมุข ฉะนั้นจึงต้องสาบานความภักดีต่อประมุข ผู้ที่มีความรับผิดชอบและหน้าที่ในการพิทักษ์และรักษาความยุติธรรมให้แก่ผู้ อยู่ภายใต้การปกครอง สังคมระบบศักดินาเป็นสังคมที่สมาชิกในสังคมมีความภักดีและหน้าที่รับผิดชอบ ต่อกันและกัน เป็นสังคมที่ประกอบด้วยผู้ครองดินแดนผู้เป็นทหารและชนชั้นแรงงานที่เป็น เกษตรกร ขุนนางที่เป็นผู้ครองดินแดนที่ว่านี้ก็รวมทั้งสังฆราชเพราะสังฆราชก็เป็นผู้ ครองดินแดนเช่นเดียวกับฆราวาส ชนชั้นที่ต่ำที่สุดในระบบนี้คือเกษตรกร หรือ villeins ต่ำกว่านั้นก็เป็นข้าที่ดิน (serfs)
ระบบศักดินารุ่งเรืองมาจนกระทั่งเมื่อระบบการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ผู้มี อำนาจจากศูนย์กลางมีความแข็งแกร่งขึ้น ก่อนหน้านั้นผู้มีอำนาจที่แท้จริงคือขุนนางผู้ครองดินแดน ผู้มีเกษตรกรอยู่ภายใต้การปกครองผู้มีหน้าที่เสียค่าธรรมเนียมต่างๆ ระบบการศาลก็เป็นระบบที่ทำกันในท้องถิ่นที่ปกครอง ระบบก็จะแตกต่างกันออกไปบ้างแต่โดยทั่วไปแล้วเกษตรกรก็จะมีที่ดินทำมาหากิน แปลงเล็กๆ หรือแปลงที่ร่วมทำกับผู้อื่นที่ใช้เป็นที่ปลูกอาหารสำหรับตนเองและครองครัว และมีสิทธิที่จะหาฟืนจากป่าของผู้ครองดินแดนมาใช้ ระบบที่ใช้กันมากคือระบบการแบ่งที่ดินเป็นผืนยาวๆ รอบดินแดนของมาเนอร์
ระบบศักดินาตะวันตกที่วิวัฒนาการขึ้นในขณะที่บ้านเมืองอยู่ในสภาพอันระส่ำระสายในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ในฝรั่งเศสเป็นระบบที่ทำให้สร้างความมีกฎมีระเบียบขึ้นบ้าง การเป็นเจ้าของดินแดนก็อาจจะได้มาโดยการยินยอมหรือการยึดครอง ผู้ครองดินแดนใหญ่ๆ อาจจะได้รับหน้าที่ทางกฎหมายและทางการปกครองจากรัฐบาลกลางพอสมควร เมื่อมาถึงระดับดินแดนในปกครองผู้ครองดินแดนก็อาจจะทำข้อตกลงกับเจ้าของดิน แดนที่ย่อยลงไปอื่นๆ ในการก่อตั้งกองทหารท้องถิ่นเพื่อการป้องกันตนเอง ระบบศักดินาเป็นระบบที่มีกฎหมายและจารีตที่เป็นของตนเองที่มามีบทบาทอัน สำคัญในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของยุโรปในยุคกลาง ระบบศักดินานำเข้ามาใช้ในอังกฤษโดยสมเด็จพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษในปี พ.ศ. 1609 แต่ทรงริดรอนอำนาจจากขุนนางที่เป็นบริวารของพระองค์เป็นอันมากและใช้ระบบการ บริหารจากส่วนกลาง ระบบศักดินามีองค์ประกอบสามอย่าง: เจ้าของที่ดิน, ที่ดิน และ รัฐบาล สมาชิกในระบบศักดินารวมทั้งพระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขของระบบ แต่ละคนต่างก็มีอภิสิทธิ์แตกต่างกันไปตามที่ระบุตามกฎระบบศักดินาในการรับ ผิดชอบต่อหน้าที่ที่กำหนด
ระดับชั้นในระบบศักดินา
ระบบศักดินา หรือ ระบบสามนตราช (Feudalism) ของ ยุโรปนี้แตกต่างจากระบบศักดินาไทยอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นระบบดังกล่าวข้างต้น ที่มีนาย และข้า ถัดลงไปตามลำดับ โดยระดับสูงคือจักรพรรดิที่อาจมีรัฐบริวาร (Vassal) รองลงมาคือ กษัตริย์ และ อาร์คดยุค เช่นในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) กษัตริย์ก็มีข้ารองลงมา ปกครองดินแดนย่อยลงไปคือ ดยุค และถัดไปตามลำดับ ขุนนางและผู้ครองดินแดนของยุโรปแบ่งออกเป็น 5 ระดับดังนี้
1.ดยุค
2.มาร์ควิส
3.เอิร์ล (อังกฤษ) หรือ เคานท์ หรือ มากราฟ (ภาคพื้นยุโรป)
4.ไวส์เค้านท์
5.บารอน
ตำแหน่ง ต่างๆ เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งสืบสกุล พระมหากษัตริย์มีสิทธิที่จะพระราชทานตำแหน่งใหม่ หรือเพิกถอน หรือผนวกดินแดนเป็นของหลวง แต่ละตระกูลจะสืบสกุลไปจนกว่าจะสิ้นบุตรชายหรือถูกปลดหรือถูกผนวกโดยดินแดน อื่น ลักษณะของดินแดนที่ครองก็เปลี่ยนไปตามความผันผวนทางการเมือง, การ แบ่งแยกที่ดินระหว่างทายาท หรือการรวมตัวกันเป็นสหอาณาจักร และอื่นๆ บางตำแหน่งก็เป็นตำแหน่งเลือกตั้งหรือการเลื่อนระดับเช่นตำแหน่งเจ้าผู้ครอง นครของอาณาจักรสมเด็จพระสังฆราช แม้ว่าผู้ครองดินแดนเหล่านี้อาจจะไม่เป็นข้าราชการโดยตรงแต่ก็มีหน้าที่รับ ผิดชอบต่อผู้เหนือกว่า ขุนนางเหล่านี้จะมี ที่ดิน หรือ Estate เป็นของตนเอง มีข้าที่ดิน (serfs) คือ สามัญชนที่ทำกินในที่ดินของขุนนาง และต้องจ่ายภาษีให้ขุนนางเจ้าของที่ดินนั้น และขุนนางมีอำนาจตัดสินคดีความในเขตของตน และจะต้องส่ง ทหารที่พร้อมรบ ไปรวมทัพกับกษัตริย์ในกรณีที่มีการระดมพล ในการทำสงคราม ขุนนางจะต้องรับผิดชอบ เกณฑ์คนในเขตของตนไปร่วมกองทัพ

ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B2

Postmodern theory

ตามรอยแนวคิดทฤษฎีหลังสมัยใหม่ : Postmodern theory

ทฤษฎีโพสท์โมเดิร์น
หัวเรื่องหลักในบทความนี้
บทนำที่หนึ่ง : ในการค้นหาเกี่ยวกับ โพสท์โมเดิร์น
บทนำที่สอง : ฟูโกและการวิจารณ์เกี่ยวกับความเป็นสมัยใหม่
บทนำที่สาม : Deleuze และ Guattari: Schizos, Nomads, Rhizomes
บทนำที่สี่ : Baudrillard ในเส้นทางสู่ความเป็นหลังสมัยใหม่
บทนำที่ห้า : Lyotard และการเล่นเกมโพสท์โมเดิร์น

Chapter 1: In Search of the Postmodern
บทนำที่หนึ่ง : ในการค้นหาเกี่ยวกับ โพสท์โมเดิร์น
ในสองทศวรรษที่ผ่านมา การถกเถียงกันเกี่ยวกับโพสท์โมเดิร์นได้มีอิทธิพลต่อฉากทางด้านศิลปวัฒนธรรมและวงวิชาการในหลายสาขาทั่วโลก. ในด้านทฤษฎีสุนทรียศาสตร์และวัฒนธรรม การโต้เถียงกันปรากฏตัวขึ้นมาท่ามกลางศิลปะลัทธิโมเดิร์น ไม่ว่ามันศิลปะในยุคโมเดิร์นจะยังคงดำเนินต่อไป หรือยังไม่ตายก็ตาม แต่ศิลปะแนวโพสท์โมเดิร์นกำลังไล่หลังตามมาติดๆ. ในทางปรัชญา ข้อถกเถียงกันต่างๆได้ปะทุขึ้นมาในความสนใจ ไม่ว่าขนบจารีตของปรัชญาสมัยใหม่จะสิ้นสุดลงแล้วหรือไม่ก็ตาม แต่หลายต่อหลายคนเริ่มให้การยกย่องปรัชญาโพสท์โมเดิร์นที่ไปเชื่อมโยงกับ เกี่ยวเนื่องกันกับงานของ Nietzche, Heidegger, Derrida, Rorty, Lyotard, และคนอื่นๆ.

บรรดาผู้ให้การสนับสนุนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงไปสู่โพสท์โมเดิร์น ได้วิพากษ์วัฒนธรรม, ทฤษฎี, และการเมืองแนวขนบจารีตยอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันพวกที่ให้การปกป้องเกี่ยวกับขนบประเพณีแบบโมเดิร์นก็ตอบโต้ด้วยการเมินเฉยหรือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อพวกที่ท้าทายใหม่ๆ และมีการโจมตีพวกดังกล่าวกลับไป นอกจากนี้บางคนก็มีปฏิกริยาตอบโต้ด้วยการพยายามที่จะเรียนรู้เรื่องราวของโพส์ทโมเดิร์นด้วยความยากลำบาก และแย่งชิงวาทกรรมใหม่ๆและฐานะตำแหน่งต่างๆเหล่านี้เอาไว้

บรรดานักวิจารณ์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงไปสู่โพสท์โมเดิร์นหรือหลังสมัยใหม่ ให้เหตุผลว่า มันเป็นเพียงแฟชั่นความนิยมเพียงชั่วครั้งชั่วคราวที่จะผ่านเลยไป(Foucault 1986/7; Guattari 1986), และบางคนก็กล่าวว่า มันเป็นนวัตกรรมหรือสิ่งประดิษฐ์ที่ดูเรียบร้อยภายนอกอันหนึ่งของปัญญาชนทั้งหลาย ในการแสวงหาเกี่ยวกับวาทกรรมใหม่และต้นตอหรือแหล่งที่มาของทุนทางวัฒนธรรม(Britton 1988), หรือแม้แต่นักอุดมคติแนวอนุรักษ์นิยมอีกคน ก็วิจารณ์ว่าเป็นความพยายามที่จะลดทอนคุณค่าทฤษฎีโมเดิร์นและค่านิยมต่างๆเกี่ยวกับการปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระลงมา(Habermas 1981 and 1987a). แต่การปรากฎตัวขึ้นมาของวาทกรรมต่างๆของโพสท์โมเดิร์น และสิ่งที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจเหล่านี้ได้หยิบยกประเด็นปัญหาต่างๆขึ้นมา ซึ่งแสดงถึงการต่อต้านและปฏิเสธที่จะรวมเข้าไปอยู่กับกระบวนทัศน์ทั้งหลายซึ่งเป็นที่ยอมรับกันแล้วอย่างละมุนละม่อม

ในทัศนะที่กว้างขวางเกี่ยวกับข้อโต้แย้งในเรื่องของโพสท์โมเดิร์น เราเสนอที่จะสร้างคำอธิบายและแยกแยะความแตกต่างระหว่างการแสดงออกมาอย่างชัดเจนในสิ่งที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับทฤษฎีโพสท์โมเดิร์น กับ การที่จะพยายามชี้ให้เห็นถึงฐานะตำแหน่งที่เป็นแกนหลักสำคัญของมัน เพื่อสร้างความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และมองหาข้อจำกัดต่างๆที่มีอยู่. กระนั้นก็ตาม ดังที่เราจะได้เห็นว่า มันไม่มีทฤษฎีโพสท์โมเดิร์นที่เป็นหน่วยเดียวหรือเอกภาพ หรือแม้แต่สภาพการณ์ใดๆที่เชื่อมโยงสอดคล้องต้องกันที่มีลักษณะรวมกันเป็นเนื้อเดียวกัน

ตรงกันข้าม ทฤษฎีหนึ่งทฤษฎีใดอาจจะถูกโจมตีโดยความหลากหลายแตกต่างระหว่างทฤษฎี ซึ่งบ่อยครั้ง รวมเข้าด้วยกันเป็นก้อนในฐานะที่เป็นทฤษฎีโพสท์โมเดิร์น และทฤษฎีพหุนิยม - ซึ่งก็ขัดแย้งกันอยู่บ่อยๆ - เกี่ยวกับสภาพการณ์ของโพสท์โมเดิร์น . ทฤษฎีหนึ่งทฤษฎีใดยังอาจถูกโจมตีโดยความคิดที่ไม่แข็งแรงมากพอ หรือยังอยู่ภายใต้การสร้างให้เป็นทฤษฎีขึ้นมาได้ด้วยเกี่ยวกับ"โพสท์โมเดิร์น" ในทฤษฎีต่างๆซึ่งรับเอามา หรือถูกแสดงตัวหรืออธิบายในเทอมดังกล่าว

เพื่อความกระจ่างชัดเกี่ยวกับคำซึ่งเป็นกุญแจสำคัญบางคำในครอบครัวของแนวความคิดเกี่ยวกับโพสท์โมเดิร์น มันจะเป็นประโยชน์มากที่จะจำแนกให้เห็นอย่างชัดเจนระหว่างวาทกรรมต่างๆของโมเดิร์นและโพสท์โมเดิร์นออกจากกัน(see Featherston 1988). ซึ่งในบทนี้ ท่านจะพบกับเนื้อหาดังกล่าว

สำหรับการเริ่มต้น เราอาจต้องจำแนกความแตกต่างระหว่าง"ความเป็นสมัยใหม่"(modernity)ที่ได้รับการทำให้เป็นแนวคิดขึ้นมาในยุคโมเดิร์น กับ "ความเป็นหลังสมัยใหม่"(postmodernity)ในฐานะที่เป็นศัพท์ใหม่คำหนึ่ง ซึ่งได้มาอธิบายถึงยุคสมัยที่ตามมาของความเป็นสมัยใหม่(modernity)ที่พูดถึง. มันมีวาทกรรมมากมายเกี่ยวกับความเป็นสมัยใหม่ ซึ่งต่อมาภายหลังมันมีคุณสมบัติของความเป็นหลังสมัยใหม่ และศัพท์คำดังกล่าวยังเป็นการพูดถึงความหลากหลายในการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ, การเมือง, สังคม, และวัฒนธรรมด้วย

ความเป็นสมัยใหม่(modernity) ดังที่ถูกทำให้เป็นทฤษฎีขึ้นมาโดย Marx, Weber, และคนอื่นๆ, เป็นศัพท์ที่เกี่ยวกับยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ซึ่งอ้างอิงถึงยุคสมัยที่ต่อมาจาก"ยุคกลาง"(Middle Ages) หรือลัทธิศักดินา(feudalism). สำหรับบางคน ความเป็นสมัยใหม่ถูกทำให้ตรงข้ามกับสังคมตามจารีตประเพณีเดิมๆ และถูกสร้างอัตลักษณ์ของตัวมันขึ้นมาโดยสิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรมใหม่, ความแปลก, และความเป็นพลวัตร(Berman 1982).

วาทกรรมต่างๆในทางทฤษฎีของความเป็นสมัยใหม่นับจาก Descartes จนมาถึง the Enlightenment (ยุคสว่างหรือยุคแห่งพุทธิปัญญา) และลูกหลานของมันที่ให้การสนับสนุนเรื่องราวของเหตุผลนั้น ต่างถือว่า"เหตุผล"เป็นต้นตอของ"ความก้าวหน้า"ในด้านความรู้และความเจริญของสังคม เช่นเดียวกับฐานะตำแหน่งที่เป็นสิทธิพิเศษของความจริง(truth) และรากฐานของความรู้ที่เป็นระบบ

"เหตุผล"ได้รับการเข้าใจว่า ตัวมันเองมีความสามารถที่จะค้นพบบรรทัดฐานทางด้านทฤษฎีและการปฏิบัติอย่างเพียงพอ ซึ่งระบบคิดและการกระทำสามารถที่จะได้รับการสร้างขึ้นมา และสังคมสามารถได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่ได้เช่นกัน. โครงการยุคสว่างหรือยุคแห่งพุทธิปัญญานี้(Enlightenment project)ยังเป็นสิ่งที่นำไปปฏิบัติและมีอิทธิพลในอเมริกา, ฝรั่งเศส, และประเทศที่มีการปฏิวัติประชาธิปไตยอื่นๆด้วย ซึ่งพยายามที่จะล้มล้างโลกแห่งศักดินาลง และสร้างระเบียบสังคมที่ยุติธรรมและความเสมอภาคขึ้นมา ที่จะทำให้เหตุผลและความก้าวหน้าของสังคมเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา (Toulmin 1990).

ความเป็นสมัยใหม่ในทางสุนทรียะ ปรากฏตัวขึ้นมาในความเคลื่อนไหวของพวกขบวนการทางศิลปะแนวหน้าของบรรดาโมเดิร์นนิสท์(the new avant-garde modernist movements) และบรรดาวัฒนธรรมรองต่างๆที่ไม่ยึดถือตามขนบจารีต(behemian subcultures) ซึ่งกบฎต่อแง่มุมที่แปลกแยกของความเป็นอุตสาหกรรมและความเป็นเหตุเป็นผล ขณะเดียวกันก็แสวงหาการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและค้นหาความสามารถของตนเองในเชิงสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ในทางศิลป[to find creative self-realization in art]

ความเป็นสมัยใหม่ได้เข้ามาสู่ชีวิตประจำวันโดยผ่านการโปรยปรายของศิลปสมัยใหม่ ผลผลิตต่างๆของสังคมบริโภค เทคโนโลยี และลักษณะหรือวิธีการเกี่ยวกับการขนส่งและการสื่อสาร. พลวัตรต่างๆและความเป็นสมัยใหม่ได้สร้างโลกอุตสาหกรรมและอาณานิคมใหม่ขึ้นมา ซึ่งสามารถจะได้รับการอธิบายในฐานะที่เป็น"การทำให้เป็นสมัยใหม่"(modernization) [สำหรับศัพท์คำว่า modernization เป็นศัพท์ที่แสดงถึงขบวนการเหล่านั้นของ การทำให้เป็นปัจเจก, การทำให้เป็นเรื่องทางโลก, การทำให้เป็นอุตสาหกรรม, ความแตกต่างทางวัฒนธรรม, การทำให้เป็นสินค้า, การทำให้มีความเป็นเมือง, การทำให้เป็นระบบราชการ, และการทำให้เป็นเหตุผล ซึ่งรวมเข้าด้วยกันได้ก่อให้เกิดโลกสมัยใหม่ หรือ modern world ขึ้นมา]

กระนั้นก็ตาม การสร้างความเป็นสมัยใหม่ขึ้นมา ได้ผลิตความทุกข์ยากและความเจ็บปวดที่ไม่ได้มีการเปิดเผยหรือบอกกล่าวล่วงหน้าเอาไว้เกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของมัน ซึ่งไล่เลียงได้นับจาก ชาวไร่, ชาวนา, กรรมกร, และช่างฝีมือทั้งหลายที่ถูกกดขี่โดยการทำให้เป็นอุตสาหกรรมของนายทุน จนกระทั่งถึงการกีดกันผู้หญิงออกไปจากปริมณฑลสาธารณะ และไปจนถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกี่ยวกับการทำให้เป็นอาณานิคมของนักจักรวรรดิ์นิยมทั้งหลาย

ความเป็นสมัยใหม่ยังได้สร้างสถาบันทั้งหลายที่เกี่ยวกับระเบียบวินัยขึ้นมา ปฏิบัติการต่างๆ และวาทกรรมหลายหลากที่ทำให้วิธีการต่างๆของมันในการครอบงำและบังคับควบคุมเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย. ด้วยเหตุนี้ ใน The `dialectic of Enlightenment' (หลักวิภาษวิธีของยุคสว่าง)(Horkheimer and Adorno 1972) จึงได้อธิบายถึงขบวนการอันหนึ่ง ซึ่ง"ความเป็นเหตุเป็นผล"ได้เปลี่ยนแปลงไปสู่ภาวะที่ตรงข้ามกันกับตัวมัน และคำทั่นสัญญาของความเป็นสมัยใหม่เกี่ยวกับการปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระ กลายเป็นหน้ากากของการกดขี่และการครอบงำ. กระนั้นก็ตาม บรรดาผู้ปกป้องเกี่ยวกับความเป็นสมัยใหม่((Habermas 1981, 1987a, and 1987b) อ้างว่า "มันมีศักยภาพที่ยังไม่บรรลุผล"(unfulfilled potential) และมีทรัพยากรต่างๆที่จะเอาชนะข้อจำกัดต่างๆ และผลของการทำลายล้างเหล่านี้

แต่อย่างไรก็ตาม บรรดานักทฤษฎีโพสท์โมเดิร์นอ้างว่า ในสังคมร่วมสมัยที่มีความไฮเทคทางด้านสื่อ, กระบวนการต่างๆที่เร่งด่วนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและการแปรผัน สิ่งเหล่านี้กำลังผลิตสังคมโพสท์โมเดิร์นใหม่อันหนึ่งขึ้นมา และผู้ที่ให้การสนับสนุนมันทั้งหลายอ้างว่า ยุคของความเป็นโพสท์โมเดิร์นได้ก่อให้เกิดภาวะทางประวัติศาสตร์ที่แปลกใหม่อันหนึ่ง และการก่อตัวขึ้นมาของสังคมวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนเดิม ซึ่งต้องการแนวความคิดและทฤษฎีใหม่ๆมารองรับ

บรรดานักทฤษฎีเกี่ยวกับความเป็นโพสท์โมเดิร์น (Baudrillard, Lyotard, Harvey, ฯลฯ) ให้เหตุผลว่า เทคโนโลยีต่างๆอย่างเช่น คอมพิวเตอร์และสื่อ, รูปแบบใหม่ของความรู้, และการเปลี่ยนแปลงในระบบสังคมเศรษฐกิจต่างๆกำลังสร้างรูปแบบทางสังคมหลังสมัยใหม่อันหนึ่งขึ้นมา. Baudrillard และ lyotard ได้ตีความพัฒนาการต่างๆเหล่านี้ในเทอมของแบบฉบับที่แปลกใหม่ของข้อมูล, ความรู้, และเทคโนโลยี, ขณะที่บรรดานักทฤษฎีนีโอ-มาร์กซิสท์ทั้งหลาย อย่าง Jameson และ Harvey ได้ตีความ โพสท์โมเดิร์น ในเทอมต่างๆของพัฒนาการเกี่ยวกับขั้นตอนที่สูงกว่าของลัทธิทุนนิยม(higher stage of capitalism) ซึ่งมันได้รับการทำเครื่องหมายขึ้นมาโดยการแทรกซึมของทุนในระดับที่สูงขึ้น และการทำให้เป็นเนื้อเดียวกันข้ามโลก

กระบวนการต่างๆเหล่านี้กำลังสร้างการแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทางวัฒนธรรมเพิ่มขึ้นด้วย รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงในประสบการณ์เกี่ยวกับพื้นที่ว่างและเวลา, และลักษณะใหม่ๆของประสบการณ์, ความเป็นตัวตน, และวัฒนธรรม. เงื่อนไขต่างๆเหล่านี้ได้ให้พื้นฐานสังคมเศรษฐกิจและรากฐานทางวัฒนธรรมสำหรับทฤษฎีโพสท์โมเดิร์น และการวิเคราะห์ของมันได้ให้มุมมองและทัศนียภาพต่างๆจากสิ่งซึ่งทฤษฎีโพสท์โมเดิร์น สามารถอ้างได้ว่าอยู่บนแถวหน้าสุดของพัฒนาการร่วมสมัย

นอกจากความแตกต่างกันระหว่าง"ความเป็นสมัยใหม่"และ"ความเป็นหลังสมัยใหม่"ในปริมณฑลของทฤษฎีทางสังคมแล้ว, วาทกรรมเกี่ยวกับหลังสมัยใหม่หรือโพสท์โมเดิร์น ยังแสดงบทบาทสำคัญในอาณาเขตของสุนทรียศาสตร์และทฤษฎีทางวัฒนธรรมด้วย. ในที่นี้ ข้อถกเถียงได้ไปเกี่ยวพันรายรอบความแตกต่างระหว่างลัทธิสมัยใหม่และลัทธิหลังสมัยใหม่ในศิลปกรรมต่างๆ

ภายใต้วาทกรรมนี้ "ลัทธิสมัยใหม่" อาจถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายถึงขบวนการทางศิลปะของยุคโมเดิร์น (ลัทธิ impressionism, l'art our l'art, expression, surrealism, และขบวนการแนวหน้าอื่นๆ หรือ avant-garde movements), ขณะที่"ลัทธิหลังสมัยใหม่"สามารถอธิบายถึงรูปแบบและปฏิบัติการต่างๆทางสุนทรีย์ที่หลากหลายซึ่งตามมาทีหลัง และแตกหักกับลัทธิสมัยใหม่. รูปแบบเหล่านี้รวมเอาสถาปัตยกรรมของ Robert Venturi และ Philip Johnson, การทดลองทางด้านดนตรีของ John Cage, ผลงานศิลปะของ Warhol และ Rauschenberg, นวนิยายต่างๆของ Pynchon และ Ballard, และงานภาพยนตร์อย่างเช่นเรื่อง Blade Runner หรือ Blue Velvet. ข้อถกเถียงกันเหล่านี้มีศูนย์กลางอยู่ที่ว่ามันใช่หรือไม่ใช่ข้อแตกต่างทางแนวคิดอันแหลมคมระหว่างลัทธิสมัยใหม่และลัทธิหลังสมัยใหม่ และลักษณะที่ดีและข้อจำกัดต่างๆเกี่ยวกับขบวนการต่างๆเหล่านี้

วาทกรรมต่างๆเกี่ยวกับหลังสมัยใหม่ ยังปรากฎตัวในขอบเขตของทฤษฎีและการโฟกัสลงบนการวิจารณ์เกี่ยวกับทฤษฎีสมัยใหม่ และข้อถกเถียงกันต่างๆสำหรับความแตกร้าวของทฤษฎีหลังสมัยใหม่. ทฤษฎีสมัยใหม่ - ไล่ลำดับจากโครงการปรัชญาของ Descartes, ไปจนถึง the Enlightenment, จนกระทั่งถึงทฤษฎีทางสังคมของ Comte, Marx, Weber และคนอื่นๆ - ได้ถูกวิจารณ์ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแสวงหาของมันเพื่อวางรากฐานอันหนึ่งเกี่ยวกับความรู้, การทำให้เป็นสากล และข้ออ้างแบบรวมทั้งหมด, ความหยิ่งผยองของมันต่อการค้นหาความจริงที่อยู่เหนือคำโต้แย้ง และลัทธิเหตุผลอันหลอกลวงและน่าสงสัยของมัน. โดยในทางที่แย้งกัน บรรดาผู้ปกป้องเกี่ยวกับทฤษฎีสมัยใหม่ ได้โจมตีลัทธิสัมพัทธนิยมหลังสมัยใหม่(postmodern relativism), ลัทธิความไร้เหตุผล(irrationalism), และสุญนิยม(nihilism)

ยิ่งไปกว่านั้น ทฤษฎีหลังสมัยใหม่ยังวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการเป็นตัวแทนความจริง และความเชื่อสมัยใหม่ที่ว่าทฤษฎีเป็นกระจกเงาสะท้อนความจริง โดยแทนที่ฐานะสภาพทางทัศนียวิทยาและลักษณะสัมพัทธ์ที่ว่า ทฤษฎีต่างๆ อย่างเก่งที่สุด ก็เพียงให้ทัศนียภาพเพียงบางส่วนของวัตถุต่างๆ และการเป็นตัวแทนของการรับรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับโลกนั้นเป็นเพียงสื่อกลางทางประวัติศาสตร์และทางภาษาเท่านั้น

ทฤษฎีหลังสมัยใหม่หรือโพสท์โมเดิร์นบางทฤษฎี ปฏิเสธอย่างสอดคล้องต้องกันเกี่ยวกับทัศนียภาพขนาดใหญ่(macroperspective)ทั้งหมดในเรื่องของสังคมและประวัติศาสตร์ ซึ่งได้รับการชื่นชอบโดยทฤษฎีสมัยใหม่หรือโมเดิร์น ทฤษฎีหลังสมัยใหม่เห็นด้วยและให้การสนับสนุนเกี่ยวกับทฤษฎีเล็กๆและการเมืองขนาดเล็ก(microthery and micropolitics)(Lyotard 1984a)

ทฤษฎีโพสท์โมเดิร์นยังปฏิเสธข้อสันนิษฐานต่างๆของทฤษฎีโมเดิร์นเกี่ยวกับความสอดคล้องกันทางสังคม และความคิดเห็นต่างๆเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นเหตุเป็นผล. ทฤษฎีโพสท์โมเดิร์นสนับสนุนความหลากหลาย, ลักษณะพหุวิสัย, การแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย, และลักษณะที่ไม่แน่นอนคลุมเครือ

นอกจากนี้ ทฤษฎีโพสท์โมเดิร์นยังละทิ้งเรื่องของเหตุผลและอัตบุคคลที่เป็นหน่วยเดียว(unified subject)ซึ่งได้รับการยืนยันโดยทฤษฎีโมเดิร์นเป็นจำนวนมาก ด้วยการสนับสนุนการกระจายออกจากศูนย์กลางทางสังคมและทางภาษา และอัตบุคคลที่แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย(fragmented subject)

ด้วยเหตุนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนเกี่ยวกับแนวคิด ในที่นี้จึงอยากจะใช้ศัพท์คำว่า"ความเป็นหลังสมัยใหม่"( postmodernity)เพื่ออธิบายถึงยุคสมัยที่ตามมาหลังจาก"ความเป็นสมัยใหม่"(modernity), และใช้คำว่า"ลัทธิหลังสมัยใหม่"(postmodernism)เพื่ออรรถาธิบายถึงขบวนการต่างๆและสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นในขอบเขตทางวัฒนธรรม ที่สามารถได้รับการจำแนกแยกแยะจากขบวนการต่างๆของสมัยใหม่(modernist), รวมไปถึงตำรับตำราทั้งหลาย และปฏิบัติการต่างๆ

เรายังแยกความแตกต่างระหว่าง"ทฤษฎีสมัยใหม่"(modern theory) กับ "ทฤษฎีหลังสมัยใหม่"(postmodern theory)ด้วย, เช่นเดียวกับระหว่าง"การเมืองสมัยใหม่"(modern politics)ซึ่งได้ถูกสร้างอัตลักษณ์ขึ้นมาโดยพรรคการเมือง, รัฐสภา, หรือการเมืองแบบสหภาพแรงงาน(trade union politics - รูปแบบองค์กรทางการเมืองที่รวมตัวกันโดยคนงานเพื่อต่อรองกับนายจ้าง) ในทางที่ตรงข้ามกันกับ"การเมืองหลังสมัยใหม่"(postmodern politics)ที่เชื่อมสัมพันธ์กับการเมืองขนาดเล็กที่มีฐานของท้องถิ่น(locally base micropolitics) ซึ่งท้าทายต่อขบวนการอันกว้างขวางของวาทกรรมต่างๆ และรูปแบบที่ถูกทำให้เป็นสถาบันต่างๆขึ้นมาของอำนาจ

เพื่อให้ความกระจ่างและความสว่างต่อความสับสนและวาทกรรมหลากรูปแตกต่างกันของโพสท์โมเดิร์น อันดับแรก เราจะนำเสนอวิธีการทางโบราณคดีหรือการขุดค้นเกี่ยวกับคำศัพท์ อธิบายอย่างละเอียดถึงประวัติศาสตร์ของมัน การนำมาใช้ในช่วงแรกๆ และความหมายที่ขัดแย้งกันต่างๆ. ต่อจากนั้น เราจะไปดูกันถึงพัฒนาการเกี่ยวกับทฤษฎีโพสท์โมเดิร์นร่วมสมัยในบริบทของช่วงหลังทศวรรษที่ 1960s ในประเทศฝรั่งเศส ที่ซึ่งแนวความคิดเกี่ยวกับเงื่อนไขของโพสท์โมเดิร์นใหม่อันหนึ่งกลายมาเป็นแนวทางหรือแก่นแกนสำคัญในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970s. และในหัวข้อ 1.3 เราจะเสก็ตภาพให้เห็นถึงข้อสงสัยและการซักไซ้ไล่เรียงของเราเกี่ยวกับทฤษฎีโพสท์โมเดิร์น และทัศนียภาพที่จะช่วยนำทางข้อซักถามของเราไปจนตลอดของหนังสือเล่มนี้

Chapter 2: Foucault and the Critique of Modernity
บทนำที่สอง : ฟูโกและการวิจารณ์เกี่ยวกับความเป็นสมัยใหม่

"มันมีความจำเป็นไหมที่จะลากเส้นขึ้นมาเส้นหนึ่งระหว่าง คนเหล่านั้นที่เชื่อว่า เราสามารถที่จะวางความไม่ต่อเนื่องต่างๆ(discontinuities)ในปัจจุบันของเราต่อไปในขนบจารีตประวัติศาสตร์ และขนบจารีตที่เหนือธรรมดาของคริสตศตวรรษที่สิบเก้า กับ คนเหล่านั้นที่กำลังสร้างความพยายามที่ยิ่งใหญ่อันหนึ่งเพื่อปลดปล่อยตัวของพวกเขาเองให้เป็นอิสระ, และในท้ายสุด จากกรอบโครงสร้างแนวคิดอันนี้ มันจำเป็นไหม ?"(Foucault 1977: p.120)
"อะไรที่กำลังเป็นไปในช่วงนี้ ? อะไรที่กำลังเกิดขึ้นกับพวกเรา ? อะไรคือโลกนี้, ยุคนี้, ช่วงขณะที่แท้จริงตอนนี้ซึ่งเรากำลังมีชีวิตอยู่ ?"(Foucault 1982a p.216)
"ความประทับใจเกี่ยวกับความสำเร็จและเกี่ยวกับขั้นตอนสุดท้าย ความรู้สึกที่ถูกห่อหุ้มไว้ ซึ่งนำพาและขับเคลื่อนความคิดของเรา และบางทีกล่อมให้เราหลับไหลด้วยพลังความสามารถของคำมั่นสัญญาของมัน... และทำให้เราเชื่อว่าบางสิ่งบางอย่างใหม่ๆจวนเจียนจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว บางสิ่งที่เราเหลือบแลเห็นซึ่งเป็นเพียงเส้นบางๆของแสงสว่างที่ปลายขอบฟ้า - ความรู้สึกและความประทับใจอันนั้น บางที จะถูกสร้างขึ้นมาด้วยความไม่ยากเย็นเกินไปนัก" (Foucault 1973b: p.384)

การวิจารณ์ของฟูโกเกี่ยวกับความเป็นสมัยใหม่และลัทธิมนุษยนิยม พร้อมกับคำประกาศของเขาเกี่ยวกับความตายของมนุษย์และการพัฒนามุมมองหรือทัศนียภาพใหม่ๆในทางสังคม, ความรู้, วาทกรรม, และอำนาจ ได้ทำให้เขากลายเป็นทรัพยากรหลักของความคิดโพสท์โมเดิร์นคนหนึ่ง

ฟูโกแสดงการต่อต้านต่อขนบจารีตของยุคสว่าง(anti-Enlightenment) โดยปฏิเสธเรื่องของเหตุผล, การปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระ, และความก้าวหน้า, โดยถกถึงการเผชิญหน้ากันระหว่างรูปแบบสมัยใหม่ต่างๆของอำนาจและความรู้ ที่ได้มารับใช้ ตกแต่ง และสรรค์สร้างรูปแบบใหม่ๆของการครอบงำขึ้นมา.

ในชุดของการศึกษาที่เรียกว่า historico-philosophical studies (การศึกษาทางด้านปรัชญาประวัติศาสตร์) เขาได้พยายามที่จะพัฒนาและพิสูจน์ถึงแนวเรื่องอันนี้จากหลายหลากมุมมอง: ทั้งจากจิตเวชศาสตร์, การแพทย์, การลงโทษ, และอาชญวิทยา, การปรากฎตัวขึ้นมาของสาขาวิชาวิทยาศาสตร์มนุษย์ต่างๆ(human sciences), การก่อตัวขึ้นมาของเครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่างๆที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่รักษาระเบียบวินัย(disciplinary)อย่างหลากหลาย, และการสร้างตัวขึ้นมาของอัตบุคคล(subject).

โครงการของฟูโกต้องการที่จะเขียนงานวิจารณ์เกี่ยวกับยุคประวัติศาสตร์ของเรา(1984: p.42) ซึ่งพิจารณาในฐานะที่เป็นปัญหารูปแบบสมัยใหม่ของความรู้, ความมีเหตุมีผล, สถาบันต่างๆทางสังคม, และความเป็นอัตบุคคล ที่ดูเหมือนจะได้มาและเป็นธรรมชาติ. แต่ในข้อเท็จจริง สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นสิ่งสร้างทางสังคมประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้คาดหมายมาก่อนของอำนาจและการครอบงำ(contingent sociohistorical constructs of power and domination)

ในขณะที่ฟูโกมีอิทธิพลต่อทฤษฎีโพสท์โมเดิร์นอย่างเข้มแข็ง แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะย่อยซึมเรื่องราวทั้งหมดสู่กฎเกณฑ์นั้นได้ เขาเป็นนักคิดที่สลับซับซ้อนและกว้างขวางทางด้านข้อมูล ซึ่งได้ดึงความรู้จากทรัพยากรหลายๆแหล่งมาใช้และยากต่อการทำความเข้าใจ ขณะเดียวกัน ตัวเขาเองก็ไม่สามารถที่จะทำให้มันมาอยู่บนระนาบของเส้นแนวเดียวกันได้

ถ้าหากว่านั่นเป็นภาพที่พิเศษในงานของเขา, คนเหล่านั้นที่เขาอ้างถึง อย่างเช่น Nietzsche และ Bataille ก็เป็นนักวิจารณ์เกี่ยวกับเหตุผลและความคิดตะวันตกเช่นกัน. Nietzsche ได้ตระเตรียมให้ Foucault และเกือบจะเหมือนๆกันกับบรรดานักคิดหลังโครงสร้างนิยมฝรั่งเศสทั้งหลาย(French poststructuralists) ด้วยการผลักดันและให้ไอเดียต่างๆของคนเหล่านี้ หลุดพ้นไปจากปรัชญา Hegelian และ Marxist.

นอกจากนี้ยังได้น้อมนำไปสู่แบบหรือวิธีคิดของ postmetaphysical(หลังอภิปรัชญา) และ poshumanist(หลังมนุษยนิยม), Nietzsche สอน Foucault ว่า เราสามารถที่จะเขียนประวัติศาสตร์วงศ์วานวิทยา(genealogical' history) เกี่ยวกับหัวข้อต่างๆที่ไม่ได้เป็นไปตามขนบประเพณีได้ อย่างเช่น เรื่องของ"เหตุผล", "ความบ้า" และ"อัตบุคคล" ซึ่งค้นหาสมุฏฐานการปรากฏตัวขึ้นมาของสิงเหล่านี้ได้ภายในที่ต่างๆที่มีการครอบงำ

Nietzsche แสดงให้เห็นว่า เจตจำนงต่อความจริงและความรู้เป็นสิ่งที่ไม่อาจตัดความสัมพันธ์เชื่อมโยงจากเจตจำนงต่ออำนาจได้(the will to truth and knowledge is indissociable from the will to power), และฟูโกได้พัฒนาข้ออ้างเหล่านี้ในงานวิจารณ์ของเขาต่อลัทธิมนุษยนิยมแบบ liberal humanism, วิทยาศาสตร์มนุษย์(human sciences), และในงานชิ้นหลังของเขาทางด้านจริยศาสตร์. ขณะเดียวกัน Foucault ไม่เคยเขียนงานของตนในลักษณะคติพจน์ในสไตล์เดียวกันกับ Nietzsche เลย เขายอมรับคำอ้างต่างๆของ Nietzsche ว่าระเบียบวิธีที่ทำให้เป็นระบบได้ทำให้งานวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์และสังคมลดทอนลงไป และความรู้นั้นมีลักษณะเป็นมุมมองหรือทัศนียภาพในธรรมชาติแบบภาพกว้าง ซึ่งต้องการแง่คิดหรือข้อสังเกตที่หลายหลากเพื่อตีความ"ความจริงที่ไม่ลงรอยเป็นเนื้อเดียวกัน"(heterogeneous reality)เหล่านี้

Foucault ยังได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจาก Bataille ด้วย ซึ่งได้โจมตีเหตุผลของยุคสว่าง(Enlightenment reason)อย่างรุนแรง และหลักการเกี่ยวกับความจริงของวัฒนธรรมตะวันตก. Bataille (1985, 1988, 1989)ให้การสนับสนุนขอบเขตปริมณฑลของความแตกต่างไม่เป็นเนื้อเดียวกัน(heterogeneity), พลังอำนาจที่ปะทุขึ้นและความปลื้มปิติอย่างเหลือล้นของความร้อนรนทางศาสนา, ความเป็นเรื่องของทางโลก(secularity), และประสบการณ์มึนเมา(intoxicated experience)ที่ล้มล้างและละเมิดต่อเครื่องมือของเหตุผล และความเป็นปกติวิสัยของวัฒนธรรมชนชั้นกลาง

การต่อต้านทัศนะของนักเหตุผลนิยมทางด้านเศรษฐกิจการเมืองและปรัชญา, Bataille แสวงหาสิ่งที่อยู่เหนือขึ้นไปจากการผลิตและความต้องการที่ถือเรื่องประโยชน์เป็นสำคัญ, ขณะเดียวกันก็ให้การยกย่องเศรษฐกิจทั่วไปอันหนึ่งเกี่ยวกับการบริโภค, ความสิ้นเปลือง-เปล่าประโยชน์, และการใช้จ่ายในฐานะที่เป็นนักปลดปล่อย(liberator). ลักษณะอันเร่าร้อนของ Bataille ผูกติดอยู่กับปรัชญาอัตบุคคลที่มีอำนาจปกครองตนเอง และการอ้าแขนของเขาไปโอบรัดประสบการณ์ต่างๆที่มีลักษณะฝ่าฝืนหรือละเมิด อันเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อ Foucault และบรรดานักทฤษฎีโพสท์โมเดิร์นคนอื่นๆ

โดยตลอดงานเขียนต่างๆของเขา, Foucault ได้ให้เหตุผลหรือแสดงให้เห็นคุณค่าในคนต่างๆ อย่างเช่น Holderlin, Artaud, และคนอื่นๆสำหรับการล้มล้างการครอบงำหรือความเป็นผู้นำของเหตุผลสมัยใหม่และบรรทัดฐานตางๆของมัน บ่อยครั้ง เขายังร่วมรู้สึกและเอาใจใส่ในเรื่องของความบ้า, อาชญากรรม, สุนทรียภาพ, และลักษณะชายขอบทุกๆชนิด

การทำความรู้จักกับปัญหาต่างๆกับป้ายฉลากที่ติดมากับผลงานของ Foucault, เราปรารถนาที่จะสำรวจถึงขอบเขตที่เขาได้พัฒนาฐานะสภาพที่แท้จริงของโพสท์โมเดิร์น. พวกเราจะไม่อ่านงานของ Foucault ในฐานะโพสท์โมเดิร์นนิสท์ที่ง่ายๆสั้นๆ, แต่อ่านงานของเขาในฐานะที่เป็นนักทฤษฎีคนหนึ่ง ผู้ซึ่งได้รวบรวมเอามุมมองและทัศนียภาพของ premodern, modern, และ postmodern มาไว้ด้วยกัน.

เรามองว่า Foucault เป็นนักคิดที่ขัดแย้งคนหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ความคิดของเขาได้ถูกฉีกทึ้งระหว่างความตรงข้ามกัน อย่างเช่น แรงกระตุ้นในลักษณะ totalizing / detotalizing และความตึงเครียดระหว่าง การทำให้เป็นทฤษฎีขึ้นมาของ discursive / extra-discursive, macro / microperspective, และ หลักวิภาษวิธีของ domination / resistance

Chapter 3: Deleuze and Guattari: Schizos, Nomads, Rhizomes
บทนำที่สาม : Deleuze และ Guattari: Schizos, Nomads, Rhizomes
"ในทุกวันนี้เราอาศัยอยู่ในยุคของวัตถุต่างๆ, ก้อนอิฐ ก้อนหิน ที่แตกออกเป็นชิ้นๆ และเศษดินเศษทรายเล็กๆน้อยๆที่เหลืออยู่... พวกเราไม่เชื่อในความคิดรวบยอดเบ็ดเสร็จเดิมๆอีกแล้วซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีอยู่ หรือเชื่อมั่นในความเป็นทั้งหมดในท้ายที่สุดที่รอคอยเรา ณ วันเวลาแห่งอนาคตในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า" (Deleuze and Guattari 1983: p.42)
"ทฤษฎีอันหนึ่งที่ไม่ได้เหมารวมหมด; มันเป็นเครื่องมืออันหนึ่งสำหรับการเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ และมันยังคูณตัวมันเองอีกด้วย... นั่นคือสิ่งที่เป็นในธรรมชาติของอำนาจที่จะรวมตัว และ... ทฤษฎีนั้น โดยธรรมชาติแล้วตรงข้ามหรือเป็นปรปักษ์กับอำนาจ" (Deleuze 1977a: p.208)
Gilles Deleuze และ Felix Guattari ได้ร่วมหัวจมท้ายในการผจญภัยเข้าไปในโพสท์โมเดิร์น ซึ่งพวกเขาพยายามที่จะสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ๆของความคิด, งานเขียน, ความเป็นอัตบุคคล, และการเมืองขึ้นมา. ขณะที่พวกเขาไม่ได้รับเอาวาทกรรมเกี่ยวกับโพสท์โมเดิร์นมาใช้ และ Guattari (1986) ได้โจมตีมันในฐานะที่เป็นคลื่นลูกใหม่ของ cynicism (ลัทธิซีนิก ซึ่งเชื่อว่ามนุษย์ถูกกระตุ้นโดยความเห็นแก่ตัว พวกนี้จะละทิ้งอารยธรรมและขนบจารีตเพื่อปลดเปลื้องตัวเองให้เป็นอิสระ) และอนุรักษ์นิยม

แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาคือตัวแทนที่น่ายกย่องของฐานะตำแหน่งเกี่ยวกับโพสท์โมเดิร์นในความพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะถอดถอนปลดเปลื้องความเชื่อต่างๆของโมเดิร์นในเรื่องของเอกภาพ(unity), ลำดับชั้นสูงต่ำ, เอกลักษณ์, รากฐานต่างๆ, อัตบุคคล และ การเป็นตัวแทน, ขณะเดียวกันก็ให้การสรรเสริญหลักการต่างๆในทางตรงข้ามเกี่ยวกับความแตกต่าง และความหลากหลายในทางทฤษฎี, การเมือง, และชีวิตประจำวัน.

หนังสือที่มีอิทธิพลมากที่สุดแห่งยุคของพวกเขาคือ Anti-Oedipus (1983; orig. 1972) เป็นการวิจารณ์ปลุกปั่นอันหนึ่งเกี่ยวกับวาทกรรมและสถาบันต่างๆของความเป็นสมัยใหม่ ซึ่งได้มาระงับความปรารถนาและแพร่ขยายความเป็นอัตบุคคลแบบฟาสซิสท์ ที่สิงสู่อยู่ในขบวนการต่างๆของการปฏิวัติ. Deleuze และ Guattari เป็นนักทำสงครามการเมือง และบางทีเป็นพวกที่มีความกระตือรือร้นมากในการให้การสนับสนุนการเมืองขนาดเล็กต่างๆ(micropolitics) เกี่ยวกับความปรารถนาที่จะเร่งการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนให้เกิดขึ้นโดยการปลดปล่อยความปรารถนาออกมา

ผลที่ตามมาจากเหตุนี้ พวกเขาได้คาดการณ์ถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับแบบของโพสท์โมเดิร์นใหม่อันหนึ่งของการดำรงอยู่ ที่ที่ปัจเจกได้เอาชนะรูปแบบต่างๆของโมเดิร์นที่มากดบีบเกี่ยวกับเรื่องของเอกลักษณ์ และภาวะหยุดนิ่ง ที่จะกลายไปเป็นผู้ที่ร่อนเร่ไปตามความปรารถนาในกระบวนการต่อเนื่องเกี่ยวกับความเหมาะสมและการแปรสภาพ

Deleuze เป็นศาสตราจารย์ทางด้านปรัชญา ผู้ซึ่งในช่วงปีทศวรรษที่ 1950s และ 1960s ได้ให้ความสนใจในการศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดของ Spinoza, Hume, Kant, Nietzsche, Bergson, Proust และคนอื่นๆ. ส่วน Guattari เป็นนักจิตวิเคราะห์แนวปฏิบัติ ซึ่งนับแต่ช่วงทศวรรษที่ 1950s ได้ทำงานที่คลีนิคการทดลองทางด้านจิตเวชศาสตร์, La Borde. เขาได้รับการฝึกฝนทางด้านจิตวิเคราะห์แนว Lacanian, เป็นคนที่มีความกระตือรือร้นทางการเมืองนับจากช่วงต้นๆ และได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ต่างๆเดือนพฤษภาคม 1968. เขาได้ร่วมงานกับนักทฤษฎีชาวอิตาเลี่ยน Antonio Negri (Guattari and Negri 1990) และได้ถูกนำเข้าไปเกี่ยวพันกับการเคลื่อนไหวเพื่อปกครองตนเอง ซึ่งพยายามให้ได้มาซึ่งขบวนการปฏิวัติที่เป็นอิสระภายนอกโครงสร้างต่างๆขององค์กรพรรคการเมืองทั้งหลาย

Deleuze และ Guattari ทั้งสองประกอบอาชีพต่างกัน และได้มารวมกันเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1969 เมื่อพวกเขาเริ่มงาน Anti-Oedipus. อันนี้ได้รับการตามมาด้วย Kafka: Toward a Minor Literature(1986; orig. 1975), A Thousand Plateaus (1987; orig. 1980), และนอกจากนี้ยังมีผลงานต่างๆที่ต่างคนต่างทำอีกเป็นจำนวนมาก
มีความสนใจมากมายที่มีความคล้ายคลึงและความแตกต่างกันระหว่างผลงานของพวกเขากับ Foucault. ที่เหมือนกันกับ Foucault ก็คือ Deleuze ได้รับการฝึกฝนมาทางด้านปรัชญา และ Guattari ได้ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชศาสตร์ และได้มีความสนใจในความรู้ทางด้านการแพทย์ในฐานะที่เป็นรูปแบบหนึ่งซึ่งมีความสำคัญเกี่ยวกับการควบคุมทางสังคม. Deleuze และ Guattari ได้ดำเนินรอยตามวิถีทางหรือแนวโน้มทั่วๆไปเกี่ยวกับการวิจารณ์ของ Foucault เกี่ยวกับความเป็นสมัยใหม่(modernity). คล้ายๆกับ Foucault, ความใส่ใจที่เป็นแกนกลางสำคัญของพวกเขาก็คือ เรื่องของความเป็นสมัยใหม่ ในฐานะที่เป็นขั้นตอนประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับการครอบงำ ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนการแพร่ขยายของวาทกรรมเกี่ยวกับการทำให้เป็นปกติ(normalizing discourse) และสถาบันต่างๆที่แพร่หลายไปทั่วในทุกๆด้านเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของสังคมและในชีวิตประจำวัน

แต่อย่างไรก็ตาม มุมมองทางทัศนียวิทยาแบบภาพกว้างของพวกเขาต่อความเป็นสมัยใหม่ค่อนข้างจะแตกต่างกัน. สิ่งที่เด่นชัดมากที่สุดก็คือ ในขณะที่ Foucault มีแนวโน้มที่จะวิพากษ์ในลักษณะรวมๆทั้งหมดเกี่ยวกับความเป็นสมัยใหม่, Deleuze และ Guattari กลับค้นหาเพื่อที่จะสร้างทฤษฎีและแยกให้เห็นแง่มุมหรือด้านที่เป็นบวกและมีลักษณะปลดปล่อยของมัน การถอดระหัสเกี่ยวกับการไหลเลื่อนของแรงขับทางเพศ(libidinal)ที่นำไปสู่พลวัตรต่างๆของเศรษฐกิจแบบทุนนิยม(the decoding of libidinal flows initiated to the dynamics of the capitalist economy).

ไม่เหมือนกันกับ Foucault, ผลงานของ Deleuze และ Guattari เป็นงานที่วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความรู้และเรื่องของเหตุผลไม่มากนัก กล่าวคือ เขาทั้งสองวิจารณ์เรื่องเหล่านี้น้อยกว่าเรื่องของสังคมทุนนิยม; ผลที่ตามมา การวิเคราะห์ต่างของพวกเขาได้ให้ความไว้วางใจและความเชื่อมั่นต่อปริมณฑลต่างๆเกี่ยวกับขนบจารีตแบบมาร์กซิสท์มากกว่างานของ Foucault. แต่อย่างไรก็ตาม ที่เหมือนๆกันกับ Foucault คือ พวกเขาไม่ได้แสดงตัวหรือถือว่าพวกเขาเป็นมาร์กซิสท์ และปฏิเสธระเบียบวิธีในหลักวิภาษวิธีสำหรับตรรกะแบบโพสท์โมเดิร์นเกี่ยวกับความแตกต่าง, ทัศนียวิทยาแบบภาพกว้าง, และการแตกออกเป็นชิ้นๆ. ขณะเดียวกัน ทั้งสามได้มองภาพระยะใกล้ข้างหน้าและเห็นถึงความสำคัญของโครงสร้างขนาดเล็กที่สร้างเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการครอบงำขึ้นมา. Deleuze และ Guattari ค่อนข้างกล่าวออกมาอย่างชัดเจนถึงความสำคัญของโครงสร้างขนาดใหญ่ด้วย และได้พัฒนางานวิจารณ์ที่ลงลึกไปในรายละเอียดเกี่ยวกับรัฐ

ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่การเน้นของ Foucault เจาะจงลงไปที่เทคโนโลยีต่างๆที่เกี่ยวกับเรื่องระเบียบวินัยของความเป็นสมัยใหม่ และพุ่งเป้าไปที่ร่างกายที่ตกอยู่ภายใต้ระบบกฎเกณฑ์ของอำนาจ/ความรู้(power/knowledge). Deleuze และ Guattari กลับเพ่งความสนใจไปที่การทำให้เป็นอาณานิคมเกี่ยวกับความปรารถนาขึ้นมา(the colonization of desire) โดยวาทกรรมและสถาบันสมัยใหม่หลายหลาก. ขณะเดียวกัน ความปรารถนาเป็นแนวเรื่องรองอันหนึ่งในวงศ์วานวิทยาหลังๆของ Foucault เกี่ยวกับอัตบุคคล(subject), แต่สำหรับ Deleuze และ Guattari มันเป็นสิ่งสำคัญแรกสุดเลยทีเดียว
ผลลัพธ์ที่ตามมา วิธีการจิตวิเคราะห์, แนวความคิดเกี่ยวกับการยับยั้งชั่งใจ, การพัวพันอยู่กับ Freudo-Marxism, และการวิเคราะห์เกี่ยวกับครอบครัวและลัทธิฟาสซิสม์จึงแสดงบทบาทสำคัญยิ่งในงานของ Deleuze และ Guattari ยิ่งกว่างานของ Foucault, แม้ว่าการวิจารณ์ของพวกเขาเกี่ยวกับจิตวิเคราะห์จะสร้างขึ้นมาบนการวิจารณ์ของ Foucault เกี่ยวกับ Freud, จิตเวชศาสตร์, และวิทยาศาสตร์มนุษย์ก็ตาม

ในทางที่แย้งกันกับ Foucault ซึ่งเน้นเรื่องธรรมชาติการสร้างอำนาจ และปฏิเสธสมมุติฐานเกี่ยวกับการระงับ-ปราบปราม, Deleuze และ Guattari พร้อมที่จะพูดถึงเรื่องการระงับ-ปราบปรามเกี่ยวกับความปรารถนาอย่างเต็มที่ และพวกเขาได้ทำเช่นนั้น, เพราะพวกเขาได้สร้างแนวคิดที่มีสาระสำคัญอันหนึ่งเกี่ยวกับความปรารถนาขึ้นมา. นอกจากนี้ เจตนาและความตั้งใจของ Deleuze และ Guattari ที่ให้การสนับสนุนการให้เสรีภาพทางด้านร่างกายและความปรารถนา ยืนหยัดอยู่ในความขัดแย้งที่แหลมคมกับความเห็นพ้องหรือการเข้าข้างของ Foucault ที่มีต่อโครงการ"เกรโค-โรมัน" ในเรื่องเกี่ยวกับการควบคุมตัวตน(Foucault's sympathies to the Greco-Roman project of mastering the self).

อย่างไรก็ตาม นักทฤษฎีทั้งสามคนนี้พยายามที่จะกระจายชนชั้นกลางออกจากการเป็นศูนย์กลาง และทำการชำระสะสางเรื่องอัตบุคคลของมนุษย์(humanist subject). Foucault ติดตามเรื่องราวดังกล่าวโดยผ่านวิธีการโบราณคดีและวงศ์วานวิทยาเชิงวิพกาษ์(a critical archaeology and genealogy)ที่ได้ลดทอนอัตบุคคลลงมาสู่การเป็นผลของวาทกรรมและปฏิบัติการในเรื่องของวินัย, ขณะที่ Deleuze และ Guattari ได้ติดตามเรื่องของการทำลายล้างในลักษณะ schizophrenic (เกี่ยวกับจิตเภท)ของ ego และ super-ego โดยเห็นด้วยกับจิตไร้สำนึกที่เป็นพลวัตร

แม้ว่าต่อมาภายหลัง Foucault จะปรับทัศนะต่างๆของเขาในเรื่องของอัตบุคคล แต่นักทฤษฎีทั้งสามคนนี้ก็ปฏิเสธความคิดโมเดิร์นนิสท์เกี่ยวกับอัตบุคคลที่เป็นแบบเดียวกัน, ความมีเหตุมีผล, และการแสดงออก และพยายามที่จะทำให้เกิดความเป็นไปได้ของการปรากฏตัวขึ้นมาของแบบฉบับใหม่อันหนึ่งของอัตบุคคลที่กระจายออกจากศูนย์กลาง(decetered subjects), และได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวเกี่ยวกับเอกลักษณ์ต่างๆที่เป็นแบบเดียวกันและการกำหนดตายตัว, และมีอิสระที่จะกระจายไป พร้อมทั้งมีลักษณะหลากหลาย, ที่ได้รับการก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งในฐานะที่เป็นแบบฉบับใหม่อันหนึ่งความเป็นอัตบุคคลและร่างกายต่างๆ(new types of subjectivities and bodies).

นักเขียนทั้งสามคนได้แสดงให้เห็นการนับถือกันอย่างสูงสำหรับผลงานต่างๆของแต่ละคน. ในหนังสือของเขาเรื่อง Foucault (1988; orig. 1986 p.14), Deleuze ต้อนรับทักทาย Foucault ในฐานะนักคิดใหม่ในระดับถอนรากถอนโคนคนหนึ่ง ซึ่งผลงานของเขาเป็นตัวแทนของก้าวย่างที่แจ่มชัดมากที่สุด กระนั้นก็ให้การยอมรับในปฏิบัติการทางทฤษฎีเกี่ยวกับความหลากหลายต่างๆ. สำหรับในส่วนของ Foucault เอง(1977; p.213) อ้างว่า ผลงานของ Deleuze และ Guattari มีอิทธิพลอย่างสำคัญต่อทฤษฎีของเขาเกี่ยวกับเรื่องอำนาจ และได้เขียนบทนำที่ยกย่องสรรเสริญผลงานเรื่อง Anti-Oedipus.

ในงานวิจารณ์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงานของ Deleuze ใน "Theatrum Philosophicum" (1977: pp. 165-96), Foucault ยกย่องเขาสำหรับงานเขียนที่วิพากษ์วิจารณ์ปริมณฑลต่างๆทางปรัชญาตะวันตก และสรรเสริญในความรู้ที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์. และที่ Foucault แสดงความถ่อมตัวมากครั้งหนึ่ง คือการเอ่ยคำพูดออกมาในเชิงดูหมิ่นฐานะตำแหน่งหรือที่ทางของตัวเขาเองในประวัติศาสตร์ ดังเช่นที่เขาเคยกล่าวว่า (1977; p.165) "บางทีสักวันหนึ่ง, ศตวรรษนี้จะถูกรู้จักในฐานะที่เป็นวันเวลาของแนวคิดแบบ Deleuzian"

ในการสนทนากันเรื่อง "Intellectuals and Power" (Foucault 1977: pp.205-17), สุ้มเสียงของ Foucault และ Deleuze ได้ผสมผสานคลุกเคล้ากันอย่างอิสระในโครงการที่มีส่วนร่วมกันอันหนึ่งเกี่ยวกับการสร้างนิยามความหมายใหม่ขึ้นมาทางทฤษฎี ซึ่งมักจะปฏิบัติกันอยู่แล้วเสมอ ในส่วนตัวของแต่ละคน

Chapter 4: Baudrillard en route to Postmodernity
บทนำที่สี่ : Baudrillard ในเส้นทางสู่ความเป็นหลังสมัยใหม่
Jean Baudrillard ปรากฎตัวขึ้นมาในฐานะนักทฤษฎีโพสท์โมเดิร์นคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงแพร่กะจายออกไปอย่างกว้างขวาง เขาได้รับสถานคุรุหรือครูในโลกของคนที่ใช้ภาษาอังกฤษ และผลงานต่างๆของเขาได้รับการแปลออกสู่ภาษาต่างๆอย่างรวดเร็วทั้งในภาษา สแปนิช, อิตาเลี่ยน, เยอรมัน, และอื่นๆด้วย. บรรดาผู้ช่วยและผู้ติดตามของ Baudrillard ยกย่องเขาในฐานะผ้ายันต์ของโพสท์โมเดิร์นสากลผืนใหม่ ในฐานะคนที่เกรียวกราวไปทั่วผู้ซึ่งได้สร้างพลังให้กับฉากของโพสท์โมเดิร์นในเชิงทฤษฎี ในฐานะนักทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ของความเป็นหลังสมัยใหม่ที่ใหม่มากคนหนึ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น ในทางตรงข้าม ขณะที่ Foucault และ Deleuze รวมทั้ง Guattari ไม่เคยรับเอาวาทกรรมเกี่ยวกับโพสท์โมเดิร์นมาใช้, Baudrillard กลับแสดงตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโพสท์โมเดิร์น และได้รับการสวมมงกุฎในฐานะที่เป็นพระหรือบาทหลวงของยุคใหม่ในท้ายที่สุด. นอกจากนี้ Baudrillard ได้พัฒนาทฤษฎีที่น่าประทับใจมากและค่อนข้างสุดขั้วเกี่ยวกับความเป็นหลังสมัยใหม่ และมีอิทธิพลอย่างสูงในทฤษฎีทางวัฒนธรรมและการสนทนาเกี่ยวกับสื่อสารมวลชนร่วมสมัย, ศิลปะ, และสังคม.

เขาได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ทางด้านสังคมวิทยา ณ มหาวิทยาลัย Nanterre นับจากทศวรรษ 1960s จนกระทั่งถึงปี ค.ศ.1987, Baudrillard ได้นำเสนอบทวิเคราะห์ที่ปลุกเร้าขึ้นมาชุดหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องของวัตถุ, เครื่องหมาย, และระหัส ในสังคมบริโภคด้วยผลงานต่างๆของเขาในยุคต้นๆ. งานเขียนต่างๆเหล่านี้พยายามที่จะสังเคราะห์งานวิจารณ์แบบมาร์กเซียนเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์การเมืองด้วย semiology (วิธีการทางเทคนิคซึ่งผู้คนสื่อสารโดยผ่านสัญลักษณ์และภาพต่างๆ) และเป็นส่วนหนึ่งของการพยายามอันมากมายที่จะฟื้นฟูทฤษฎีปฏิวัติขึ้นมาหลังจากช่วงเหตุการณ์ในทศวรรษที่ 1960s. นอกจากนั้นยังมีงานวิจารณ์ที่แหลมคมเกี่ยวกับลัทธิมาร์กซ์ในเรื่อง The Mirror of Production (1975; orig. 1973) และได้เสนอทางเลือก, งานเกี่ยวกับโพสท์โมเดิร์นที่ถกเถียงกันได้, มุมมอง, ทัศนียภาพแบกว้างๆเกี่ยวกับสังคมร่วมสมัยในเรื่อง L'echange symbolique et la mort (1976). ในหนังสือต่างๆที่เป็นบทสนทนาอย่างกว้างขวางชุดหนึ่งและบทความต่างๆในทศวรรษที่ 1970s และ 1980s, Baudrillard ได้ยึดติดกับสมมุติฐานล่วงหน้าบางอย่างเกี่ยวกับทฤษฎีและการเมืองสมัยใหม่, ขณะเดียวกันก็ให้ทัศนียภาพและมุมมองต่างๆเกี่ยวกับโพสท์โมเดิร์น

Chapter 5: Lyotard and Postmodern Gaming
บทนำที่ห้า : Lyotard และการเล่นเกมโพสท์โมเดิร์น
ในหลายวงการ Lyotard ได้รับการยกย่องในฐานะที่เป็นนักทฤษฎีโพสท์โมเดิร์นในระดับสุดยอด(par excellence) ในหนังสือของเขาเรื่อง The Postmodern Condition (1984; orig. 1979) ได้แนะนำถึงศัพท์คำนี้ต่อสาธารณชนอย่างกว้างขวาง และได้ถูกนำไปสนทนากันทั่วไปในการถกกันเกี่ยวกับหัวข้อโพสท์โมเดิร์นในช่วงทศวรรษหลังมานี้. ระหว่างวันเวลาดังกล่าว Lyotard ได้ตีพิมพ์งานหนังสือขึ้นมาชุดหนึ่ง ซึ่งให้การส่งเสริมฐานะสภาพต่างๆของโพสท์โมเดิร์นในทางทฤษฎี, จริยศาสตร์, รัฐศาสตร์, และสุนทรียศาสตร์.

เกือบยิ่งไปกว่าทุกๆคน Lyotard ได้สนับสนุนการแตกหักจากทฤษฎีและวิธีการของสมัยใหม่, ขณะเดียวกันก็เป็นทางเลือกโพสท์โมเดิร์นที่ได้รับความนิยมชมชอบและแพร่หลายมาก. ผลลัพธ์ที่ตามมา ผลงานของเขาได้จุดประกายให้เกิดการโต้เถียงกันอย่างเข้มข้นขึ้นมาชุดหนึ่ง ซึ่งผู้สนใจสามารถหาอ่านได้ในหนังสือ Postmodern Theory ที่มีการพูดถึงอย่างละเอียด

พ้นไปจากข้อพิจารณาอื่นๆทั้งหมด Lyotard ได้ปรากฎตัวขึ้นมาในฐานะผู้ให้การสนับสนุนเด่นสุดเกี่ยวกับเรื่องความแตกต่างและความเป็นพหุนิยมในอาณาจักรและวาทกรรมต่างๆทางทฤษฎี ขณะเดียวกันก็โจมตีทฤษฎีรวบยอดแบบเบ็ดเสร็จทั้งหมดและทฤษฎีต่างๆของความเป็นสากลอย่างมีพลัง

ในหนังสือเรื่อง The Postmodern Condition, Just Gaming (1985; orig. 1979), The Difference (1988; orig. 1983) และหนังสือในชุดอื่นๆและบทความต่างๆซึ่งได้รับการตีพิมพ์ขึ้นมาในช่วงทศวรรษที่ 1980s เขาได้เรียกร้องความสนใจในความแตกต่าง ท่ามกลางพหุนิยมของกฎเกณฑ์อันเคร่งครัดเกี่ยวกับถ้อยคำหรือวลีทั้งหลาย ซึ่งมีกฎระเบียบ, บรรทัดฐาน และวิธีการต่างๆของตัวมันเอง

การเน้นเรื่องเกี่ยวกับความไม่เป็นเนื้อเดียวกัน(ความแตกต่าง)ของวาทกรรมทั้งหลาย, Lyotard ได้ดำเนินรอยตาม Kant โดยให้เหตุผลว่า อาณาจักรต่างๆเหล่านั้นในฐานะที่เป็นการวินิจฉัยทางทฤษฎี, ภาคปฏิบัติ, และการตัดสินทางด้านสุนทรียภาพ มันมีความเป็นอิสระในตัวของพวกมันเอง มีกฎเกณฑ์ต่างๆ และบรรทัดฐานของมัน. ในหนทางนี้ เขาปฏิเสธความคิดเกี่ยวกับทฤษฎีสากลนิยม และรากฐานนิยม เช่นเดียวกับข้ออ้างต่างๆที่ว่าวิธีการอันหนึ่ง หรือแนวความคิดชุดหนึ่งมีสถานภาพที่พิเศษในปริมณฑลต่างๆที่แตกต่างกันไป เช่น ปรัชญา, ทฤษฎีสังคม, หรือสุนทรียศาสตร์. ในการถกเถียงกับสิ่งที่เขาเรียกว่าทฤษฎีก่อการร้ายและทฤษฎีรวบอำนาจ, Lyotard สนับสนุนลักษณะพหุนิยมของวาทกรรมและฐานะสภาพต่างๆที่ค้านต่อทฤษฎีหนึ่งเดียวอย่างเด็ดเดี่ยว

ฐานะตำแหน่งอันมากมายของ Lyotard คือสิ่งที่สำคัญเบื้องต้นสำหรับทฤษฎีโพสท์โมเดิร์นร่วมสมัย และการศึกษาเกี่ยวกับไอเดียหรือความคิดเหล่านั้นของเขา จะพบว่ามันเป็นแกนหลักที่สำคัญที่สุดต่อการโต้เถียงกันในปัจจุบัน. นับแต่อาชีพการงานของเขาได้ดำเนินไปเป็นเวลายาวนานเกือบสี่ทศวรรษเกี่ยวกับกิจกรรมในทางทฤษฎีที่หลากหลาย จำเป็นอย่างยิ่งที่การโฟกัสของเราจะต้องเลือกสรร และต้องละเลยทฤษฎียุ่งยากบางอย่างแต่น่าสนใจของเขาจำนวนมากไป รวมถึงเรื่องของสุนทรียศาสตร์ และรัฐศาสตร์.

ขณะเดียวกันเราจะชี้ประเด็นไปที่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในงานต่างๆของ Lyotard จากจุดยืนเกี่ยวกับทฤษฎีโพสท์โมเดิร์น ซึ่งเป็นความต่อเนื่องอันหนึ่งด้วยเกี่ยวกับพัฒนาการของเขา. สำหรับทุกๆช่วงตอน, Lyotard ได้โจมตีวาทกรรมและทฤษฎีต่างๆของสมัยใหม่อย่างแหลมคม ขณะเดียวกันก็พยายามที่จะพัฒนาวาทกรรมใหม่ๆ ยุทธวิธีการเขียน การเมืองชนิดต่างๆ และทัศนียภาพแบบภาพกว้างทั้งหลายขึ้นมา


อ้างอิง : สมเกียรติ ตั้งนโม.2544. ตามรอยแนวคิดทฤษฎีหลังสมัยใหม่ : ทฤษฎีโพสท์โมเดิร์น.[Online] Available URL ; http://www.midnightuniv.org/midnightweb/newpage1.html

Moralism

Moralism
เป็น ปรัชญา ในปัจจุบันซึ่งเน้นว่าการกระทำของมนุษย์ควรสอดคล้องกับหลักคุณธรรม
ในความรู้สึกของ moralism นอกระบบมีวัตถุประสงค์เพื่อดูข้อ จำกัด แบบดั้งเดิมของ เรื่องเพศ และมีแนวโน้มที่จะวิพากษ์วิจารณ์บุคคลที่มีการตั้งค่าที่แตกต่างกัน ในการนี้ขอบเขตของการ moralism หายไปในคลื่นในประวัติศาสตร์ moralistvåg ที่รู้จักกันเป็นบางครั้งกล่าวว่าจะเป็น วิคตอเรีย หรือ Oscarianska เป็นที่รู้จักกันในสวีเดนและนอร์เวย์ซึ่งทำเครื่องหมาย 1800 ที่อยู่ตรงกลาง ตัวอย่างของการเคลื่อนไหวที่บางครั้งมี moralists เป็น คริสเตียนขวา และ การเคลื่อนไหวรุนแรง .
คนมีศีลธรรม colloquially ใช้มักจะเป็นประจุลบระยะ มันจะให้กับคนที่พวกเขาเชื่อว่ากำลังรบกวนการทำงานในชีวิตของผู้อื่นและจึงใส่ตัวเองขึ้นเป็นผู้พิพากษาไปทางของพวกเขาในชีวิต
Moralism การเข้าใจผิดของ
________________________________________
ที่จะคิดว่าพอใจความรู้สึกใด ๆ หรือ indulging ของเครื่องแต่งกายใด ๆ กินอาหารอร่อย ๆ ในเนื้อ, เครื่องดื่ม, หรือ, เป็นของตัวเองไม่เคยรองสามารถเข้าไปในความกระตือรือร้นหัวที่ไม่ได้ไม่เป็นระเบียบโดย frenzies ของ .... vices indulgences เหล่านี้เฉพาะเมื่อพวกเขาถูกตามล่าที่อาศัยอำนาจตามค่าใช้จ่ายบางส่วนเป็นความเอื้ออารีหรือการกุศล; ในลักษณะเช่นที่พวกเขาจะ follies เมื่อพวกเขาคนสถานที่ปรักหักพังดวงชะตาของเขาและช่วยลดตัวเองต้องการและความยากจน เมื่อยึดที่มั่นที่พวกเขาไม่มีคุณธรรม แต่ออกจากที่นั้นอาจเพียงพอที่จะให้สำหรับเพื่อนครอบครัวและทุกวัตถุที่เหมาะสมของความเอื้ออาทรหรือความเห็นอกเห็นใจพวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งหมด
จริยธรรมการเข้าใจผิดของ moralism (adj. "ศีลธรรม") ผลที่ได้จากลักษณะทั่วไปของ imperatives คุณธรรมและความรับผิดชอบเป็นของ ลีโอนาร์เนลสัน moralism กำหนดในลักษณะนี้ :
'moralism'ผมเรียกว่าระบบของคุณธรรมจริยธรรมที่เพียงพอสำหรับการควบคุมบรรทัดฐานในเชิงบวกของชีวิต ในคำอื่น ๆ ที่ไม่รวม moralism ความเป็นไปได้ของการกระทำที่ไม่แยแสศีลธรรม ตามนั้นการดำเนินการทุกคนต้องมีลักษณะเป็นปฏิบัติตามหรือการละเมิดการปฏิบัติหน้าที่ ระบบ [จริยธรรม, สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเยล, 1956, p. ] 89.
หมายเหตุกัน : Moralism ไม่ใช่สิ่งเดียวกับศีลธรรมมันคือการเข้าใจผิดอย่างใดอย่างหนึ่งของการมีเกินไป"มากศีลธรรม" คำว่า"moralism"จึงไม่ควรใช้โดยไม่มีการผิดพลาดสติว่ามันคือ จะมีหลายด้านล่างเป็นรูปแบบของการ moralism กล่าวและทั้งหมดของพวกเขา fallacies ทราบนอกจากนี้ :"ศีลธรรม"เป็นคนเพียงกับทฤษฎีคุณธรรมไม่จำเป็นต้องเป็นศีลธรรมหนึ่ง แต่สัดส่วนจริยธรรมความละเอียดอ่อนของความแตกต่างจากศีลธรรมเหมาะหมายความว่ามีแนวโน้มที่จะร้ายแรง moralists moralism โดยทั่วไปเช่น ขงจื๊อ , Kant , ประโยชน์นิยม, GE Moore , บัญญัติศาสนา อื่น ๆ ประเภทของค่านอกเหนือจากคุณธรรม -- อื่น ๆ ในคำปฏิเสธเป็น, Moralism เป็นต้นมีการปฏิเสธว่า ทฤษฎี polynomic ของค่า
MORALISM : = จริยธรรมที่ดี

จริยธรรมจริยธรรม =
[ความงามที่สวยงามและน่าเกลียด] สวยงามอย่างแท้จริงเป็นสิ่งที่ดีในทางศีลธรรม
จริยธรรม
[เหมาะหรือ Euergetic จริยธรรม] ดีเป็นสิ่งที่ดีในทางศีลธรรม
, ขวาและผิดจริยธรรม : เฉพาะฟอร์มที่แท้จริงของค่านิยมทุกรูปแบบที่มีมูลค่ามีอนุพันธ์ทางการเงินและผู้ใต้บังคับบัญชา
imperatives -- คำสั่ง

ในการเข้าใจผิดของ moralism, กระบวนทัศน์ของภาระผูกพันและหน้าที่มาครองจริยธรรม สินค้าทั้งหมดเป็น absolutized ศีลธรรมจริยธรรม สินค้า Non - ศีลธรรมและความงามเป็นสินค้า devalued เป็นเพราะพวกเขาจะแตกต่างจากสิ่งที่อยู่ในทางศีลธรรมขวา ศักดิ์ศรีความงามของบุคคล -- ความหลากหลายของตัวอักษรส่วนบุคคลของพวกเขา, การตั้งค่าและการเติมเต็มตนเอง -- จะหายไปและกฎจริยธรรมหรือเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ถูกเปลี่ยนโดยสนับสนุนการสอนศีลธรรมคุณธรรมเป็นภาระหน้าที่ที่กำหนดอย่างเข้มงวดในทุกคนและทุกอย่าง ทฤษฎีการสอนศีลธรรมสามารถ deontological หรือ teleological แต่ใดทฤษฎี teleological กับภาระผูกพันทางศีลธรรมจริง (คือที่ไม่ได้เกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์แท้ๆ) จะได้รับการสอนศีลธรรมเนื่องจากตระหนักถึงภาระหน้าที่ที่ไม่สิ้นสุดคุณธรรมจริยธรรม intrinsically moralizes เหมาะ อย่างไรก็ตามทฤษฎี deontological มีมากขึ้นตามแบบฉบับของ moralism เนื่องจากพวกเขาก็ไม่สนใจผลกระทบที่ไม่เกี่ยวข้องและตำแหน่งทั้งหมดของหลักคุณธรรมจริยธรรมใน
euergetic ความแตกต่างของจริยธรรมในศีลธรรมและอุดมคติหรือจริยธรรมไปกลับไปเยอรมันกวีที่ยิ่งใหญ่นักเขียนบทละครและนักวิชาการ Friedrich von Schiller (1759-1805), ผู้เขียนอมตะของ Ode กับความสุข, กลอนที่ Ludwig Van Beethoven รวม ในการเคลื่อนไหวที่สี่ของ Ninth Symphony ของเขา บัญชีลีโอนาร์เนลสันของการดัดแปลง Schiller ของจริยธรรม Kantian ยังรวมถึงการอภิปรายที่สำคัญของ moralism :
มันมักจะกล่าวว่าเงินสมทบ Schiller เพื่อจริยธรรมเพื่อบรรเทา rigorism ของ Kant ขัดแม่นยำคือความจริง ทางหนึ่งที่จะสรุปเงินสมทบ Schiller ของการพัฒนาจริยธรรมนั้นน่าจะเป็นบอกว่าเขาเป็นคนแรกที่ rigorism คุณธรรมฟรีจากสมาคมที่มี moralism ที่ได้รับก่อนหน้านี้กฎในจริยธรรม -- จึงทำให้มันเป็นไปได้ที่มันได้มีไม่ได้จริงๆ ก่อนเพื่อสร้างความถูกต้องของ rigorism คุณธรรมในความสำคัญที่แท้จริงของ ความหมายที่แท้จริง [Rigorism ของ] เป็นที่กฎหมายคุณธรรมถูกต้องอย่างเคร่งครัดโดยไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ rigorism จริยธรรมคือ howevever ความแตกต่างมากจาก moralism ของจริยธรรม Kantian คือความแปลกประหลาดของการไม่ยอมรับหลักการอื่น ๆ ของการประเมินผลในการตัดสินการกระทำดีกว่าที่กฎหมายของศีลธรรม โดยเฉพาะการขจัด moralism นี้ rigorism คุณธรรมอาจได้รับความบริสุทธิ์เต็มแรงและมันซึ่งมันไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานของตัวเองแม้ Kant ของ ตราบใดที่มันเป็นสับสนกับ moralism มันเป็นผูกติดกับดูเหมือนรุนแรงและมีด้านเดียวปรากฏตัวเพื่อบ่งบอกถึงการยกเว้นจากจริยธรรมของเหมาะ aesethetic ใด ๆ ของชีวิต [ลีโอนาร์เนลสัน, ความคืบหน้าและถอยหลังในปรัชญา (เดิม Fortschritte und der Philosophie Rückschritte) Vol II, Basil Blackwell, Oxford, 1971, p. 34]
Moralism มีแนวโน้มที่จะยกเลิกกระบวนทัศน์ความงาม (จริยธรรมโหมดค่าของนอก) ตรงไปตรงมาผ่าน [adj ระงับความรู้สึก ยาชา"]", การปฏิเสธของความงามและคุณค่าความงาม (ไม่ในกรณีนี้การสูญเสียของสติเนื่องจากยาเสพติด), และ anhedonia [adj ]"anhedonic", การไร้ความสามารถได้สัมผัสกับความสุขหรือการลงโทษทางจริยธรรมของความสุข
ผมเคยได้ยินคำว่า"ยาชา"ก่อนหน้านี้ แต่ในกรณีนี้ผมใช้เวลาได้โดยตรงจากโรเบิร์ตฮิวส์, นักวิจารณ์ศิลปะและประวัติศาสตร์ ในวัฒนธรรมที่มีการร้องเรียน (Oxford University Press, 1993), Hughes says :
... ลักษณะปฏิบัติของศิลปะอเมริกันเป็นเหยื่อ posturing และความไม่ถูกที่ ในการแสดงของ ชาวกะเหรี่ยง Finley และ Holly Hughes คุณได้รับมีมากในสิ่งที่สามารถไปอย่างผิดปกติเป็นศิลปะการเมือง -- พอเพียงความเชื่อที่เต็มไปด้วยความหมายคือ; ว่าฉันปฏิเสธเป็นศิลปินโดยการแสดงความอบอุ่นของฉันคุณกล้าและ defying คุณ พวกเขา คุณไม่ชอบกล้าของฉันหรือไม่ คุณและ Jesse Helms, fella
การเรียกร้องของสิ่งนี้เป็นในวัยแรกเกิด ผมมีความต้องการผมมีความต้องการ ทำไมคุณไม่ได้พอใจได้อย่างไร "คุณ"จะช่วยให้ไม่แตกต่างและความชอบธรรมของตนเอง"ฉัน"เป็นอย่างยิ่งยาชา [SIC] หนึ่งจะดีใจของเครื่องหมายบางส่วนของความตระหนักในความแตกต่างกันนิดหน่อยที่แตกต่างศิลปะจากคำขวัญ [หน้า 186-187]
ตามที่เกิดขึ้นจริงในระยะไปกลับไปอริสโตเติลที่ says :
erring ผู้ชายในด้านของการขาดในเรื่องความสุข (hêdonás) และสละน้อยกว่าจำนวนที่เหมาะสมของความเพลิดเพลิน (khaírontes,"เพลิดเพลินกับ") ในพวกเขาแทบจะไม่เกิดขึ้น; การไม่มีความรู้สึกเช่น (anaisthêsía) จะไม่ใช่มนุษย์ (anthrôpiké) [Nicomachean จริยธรรม , Book III, Xi, 7, Loeb Classical Library, Harvard U. Press, 1926-1982, pp.180 - 183]
ที่นี่"anesthesia"เป็นผู้ใกล้ชิดในความหมายถึง"ยาชา"ที่ทันสมัยและในการใช้งานนี้เป็น"anhedonia,"ดังต่อไปนี้ เมื่อ"ความงาม"ตอนนี้มีแนวโน้มที่จะหมายถึงศิลปะและความงาม, ความรู้สึกตอนนี้ (ใน Hughes) เป็น"ยาชา"เพื่อให้ความรู้สึกถึงศิลปะและความงาม อริสโตเติล, ดูรายการดังกล่าวเป็นสิ่งทารุณและหายาก, ชัดเจนไม่ได้คาดว่าจะมีอุดมการณ์และระบบทางศาสนาและการเมืองอย่างแข็งขันที่จะเป็นปฏิปักษ์ต่อความสุขส่วนบุคคลและของ enjoyments ปรากฏการณ์ทางศาสนาเป็นเกี่ยวกับยุคกลาง, การเมือง, โมเดิร์น Anhedonia เป็นชื่อเดิมของวู้ดดี้อัลเลนที่ชนะออสการ์ 1977 ภาพยนตร์แอนนี่ฮอลล์ โดยท้ายภาพยนตร์ Diane Keaton กล่าวหาของอัลเลนที่ไม่สามารถสนุกกับชีวิตที่พอเพียงและเขาตอบว่าเขาไม่สามารถตราบใดที่ใครสักคนที่อื่นเป็นทุกข์
Anhedonia เสียงเหมือนคำนิยามที่มีชื่อเสียงของ Puritanism โดย HL Mencken : ที่คนเจ้าระเบียบเป็นคนที่มีความน่าสงสัยอยู่เสมอว่าคนที่อยู่ที่ไหนสักแห่งจะมีช่วงเวลาที่ดี การระงับความรู้สึกทั้งสองและ anhedonia ซึ่งเรียกรวมกันเราก็จะเรียกว่า"Puritanism"เกิดขึ้นเพราะความงามและความสุขเป็น polynomicly อิสระของการประเมินคุณธรรม : ความงามและความสุขนั้นอาจจะเห็นเป็นรูปแบบของการประเมิน intrinsically ผิดศีลธรรมและทำให้ระบบการสอนศีลธรรมคุณธรรมเพียง ชั่ว, ไม่เป็นอิสระจากรูปแบบการประเมินผล เนื่องจากความงามหรือความสุขเกิดขึ้นเป็นอิสระจากมูลค่าคุณธรรมพวกเขาสามารถมองเห็นในสถานที่แรกเป็นที่ได้ไม่ถูกเนื่องจากพวกเขาจะไม่กระจายเป็นรางวัลคุณธรรมที่เหมาะสมและในสถานที่ที่สองเป็นภาระ, ตั้งแต่พวกเขาแนะผิดเราจาก"จริง"คือ การประเมินผลด้านคุณธรรมจริยธรรมและภาระเพื่อให้เรามีคำตัดสินที่เลวร้ายและความกังวลและอื่น ๆ ตัวเราและที่ในทางศีลธรรมเราไม่ควรต้องจัดการกับ เพื่อจะพูดความงามที่อาจจะมีทั้งที่ได้ไม่ถูกและภาระ (คือทั้งดีและไม่ดี, รางวัลและการลงโทษ) ดูเหมือนว่าแย้งกัน แต่ยังไม่ได้รูปแบบผิดปกติของการตัดสิน
Oscar Wilde ประณามนี้ในทางของตัวเองด้วยการบอกว่าผู้ที่พบความหมายที่น่าเกลียดในสิ่งที่สวยงามเสียหายโดยไม่ต้องมีเสน่ห์. นี่เป็นความผิด." Anhedonia หมายถึงความรุนแรงและ humorlessness ทั่วไปของ moralism แม้ในการใช้งานตามปกติของคำว่า"สอนศีลธรรม. การระงับความรู้สึกปฏิเสธการเป็นสุนทรียศาสตร์ที่เหมาะสม (ตรงข้ามกับสุนทรียศาสตร์คุณธรรมที่ อธิบาย ด้านล่าง ) : ว่าค่าความงาม, น่าเกลียดการประเมินผลที่สวยงามและมีความเป็นอิสระของศาสนาหรือการเมืองกาประเมินคุณธรรม
Camille Paglia ให้เราในการผ่าน, สุนทรียศาสตร์ความหมายของ :
มัน [นวนิยาย Mademoiselle de Maupin, โดย Théophile Gautier] รวมจดหมายเล่าการสนทนาอย่างแม้เรียงความ -- คำนำเสีย, แถลงการณ์แรกของสุนทรียศาสตร์ Gautier การโจมตีค่าเกี่ยวกับชนชั้นกลางและยืนยันศิลปะมีทั้งสาธารณูปโภคทางสังคมหรือเนื้อหาคุณธรรม ความงามเพียงอย่างเดียวคือภารกิจของศิลปะ [ชื่อตัวทางเพศ, p 409]


ออสการ์ไวล์ด, ในคำนำของตัวเองเพื่อ Picture of Dorian Gray, กล่าวว่า"พวกเขาเป็นความงามเลือกที่จะสวยงามซึ่งหมายถึงสิ่งเท่านั้น"; และเขาทำให้เรามีลักษณะกะทัดรัดที่สุดของสุนทรียศาสตร์ :"ศิลปะทั้งหมดจะไม่ได้ผลค่อนข้าง.
Anaesthesia และ anhedonia ได้อย่างง่ายดายที่สุดเกิดขึ้นในระบบหรือทางการเมือง moralism ทางศาสนาซึ่งการประเมินทั้งหมดและเป็นงอภาระผูกพันทางการเมืองที่มีต่อหรือจบศาสนาไม่มีอิสระในรูปแบบของการประเมินสามารถได้รับอนุญาตและความมุ่งหมายใด ๆ นอกเหนือจากศาสนาหรือทางการเมืองอย่างสวยหรูจะไม่สำคัญ, เลวทราม , หรือชั่วร้าย ในขณะที่ moralism ทางศาสนาที่คุ้นเคยจากมากของประวัติศาสตร์และ moralism ทางการเมืองอย่างน้อยตั้งแต่การปฏิวัติฝรั่งเศส, คริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่ให้ตัวอย่างของทั้งสองทำให้ขนพองสยองขวัญ
ตัวอย่างที่ดีของศาสนา moralism anhedonic สามารถพบกับ Ayatollâh Khomeini ของ อิหร่าน . Khomeini ไม่เคยยิ้มในที่สาธารณะและในที่สุดเขาถูกถามเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยผู้รายงานข่าว คำตอบของเขาคือ"ศาสนาอิสลามเป็นเรื่องรุนแรงตลอดเวลา. Khomeini จริง wrote : อัลลอไม่ได้สร้างคนเพื่อให้เขาได้มีความสนุกสนาน จุดมุ่งหมายของการสร้างได้สำหรับมนุษย์ที่จะนำไปทดสอบผ่านความยากลำบากและสวดมนต์ ระบอบอิสลามจะต้องจริงจังในทุกสาขา มีเรื่องตลกไม่อยู่ในศาสนาอิสลาม มีอารมณ์ขันในศาสนาอิสลามไม่มี มีความสนุกสนานในศาสนาอิสลามไม่มี สามารถมีได้ไม่สนุกและความสุขในสิ่งที่เป็นเรื่องรุนแรง Khomeini ยังกล่าวว่า"ดนตรีเป็นกบฏต่อประเทศของเราและเพื่อเยาวชนของเรา." ทั้งหมดนี้เป็นเหมือนเรื่องราวเกี่ยวกับตำรวจทางศาสนาในประเทศซาอุดิอารเบีย, ผู้ได้รับทราบกันดีว่าเคาะประตูและเตือนประชาชนหากพวกเขาอาจจะได้ยินหัวเราะจากถนน หัวเราะดังกล่าวในบ้าน, เด่นชัด, ทรยศจริงจังไม่เพียงพอ เรื่องที่คล้ายกันได้มาจากประเทศอิหร่านอีกครั้ง : World Press ตรวจสอบรายงานในเดือนกรกฎาคมปี 1999 ที่หัวเราะนิตยสาร Adineh ถูกห้ามในอิหร่านเพราะมันได้พิมพ์เรื่องราวของผู้หญิงเกี่ยวกับการเป็น admonished โดยคุณธรรมรัฐ"ตำรวจ"เพราะเธอเป็น ในขณะที่การรับประทานอาหารกับครอบครัวของเธอในร้านอาหาร เรื่องคือสิทธิ"ก็คือความปิติยินดีในเมืองของเราลืม? เป็นหัวเราะซิ?" คำตอบ, เด่นชัด, เป็น"ใช่! และอาชญากรรม!" อย่างไรก็ตามแม้ว่าการนับถือหลักเดิมคือวันนี้ที่มีอิทธิพลมากในศาสนาอิสลามก็จะมีความผิดพลาดที่จะใช้ทัศนคติเหล่านี้ในรูปแบบขนาดนั้น, จะมีความจำเป็นหรือสากลในศาสนา , ใด ๆ ในการอ่านของพันหนึ่งคืนที่เก่าแก่มาก แต่มีเรื่องแตกหักได้รวบรวมในอียิปต์ช้าหลังจากที่ 1400 จะแก้ไขให้พ้นจากทุกคนที่ anhedonia ได้เสมอปกครองในศาสนาอิสลาม. พันและหนึ่งคืนเป็นอย่างร้ายแรงเกี่ยวกับการของศาสนาอิสลามกับการสนทนาของ กฎหมายอิสลามและเรื่องราวเกี่ยวกับพระสงครามกับ โรม แต่ไม่หยุดที่ดีจัดการการดื่มของทางเพศที่ผิดปกติและสิ่งที่น่าชมเชยและของเพศหญิง, ชาย, ความงามไม่นี้ ช่วงของทัศนคติแบบนี้แน่นอนเป็นที่คุ้นเคยจากศาสนามากที่สุด อินเดียซึ่งบางวัดฮินดูและ Jain, ได้รับการตกแต่งด้วยรูปปั้นลามกอนาจารและที่จิตรกรรมและประติมากรรมคลาสสิกเสมอพบหญิงกระดุมเปลือย (โดยปกติจะมองเหมือนพวกเขาได้รับการผ่าตัดเต้านมเทียมเป็นที่มุมขวาหรือใน รูปป๊อปอัพ ) ยังคง จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ไม่ได้อนุญาตให้ดาวชายและหญิงจะจูบในหนัง คำมาก"คนเจ้าระเบียบ"และ"Calvinist"แสดงว่าเป็นตอนของการบังคับใช้สาธารณะของการบำเพ็ญตบะในประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์ -- กรณีที่คริสตชนจำนวนมากยังคงหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แม้จะมีคำสั่งของพระเยซู,"นี่เป็นเลือดของฉัน"(Matthew 26:28) ในการอ้างถึงแก้วไวน์ของเขา หลาย Protestants ที่ความภาคภูมิใจตัวเองบนพื้นฐานเกี่ยวกับใจของความเชื่อและการปฏิบัติของพวกเขา, น้ำองุ่นแทนเพื่อเป็นการระลึกถึงศีลมหาสนิท
แม้ว่า moralism ศาสนาได้ฟื้นฟูในขณะนี้เป็นภูมิศาสตร์การเมือง ภัยคุกคาม , moralism ทางการเมืองได้มากขึ้นอย่างกว้างขวางและมากขึ้นการทำลายล้างในศตวรรษที่ 20 แม้ว่าจะพบได้บ่อยในระบอบ totalitarian, จากนาซีเยอรมนีและสหภาพโซเวียตรัสเซียไปยังคอมมิวนิสต์จีนและคิวบาที่น่ากลัวและใหญ่โตมากที่สุดเช่นมาจาก ประเทศกัมพูชา ที่คอมมิวนิสต์เขมรแดงฆาตกรรมบางทีหนึ่งในสามของประชากรของทั้งประเทศมากขึ้นกว่าสองล้านคน . ไม่เพียงแค่ความงามและความสุข แต่ความเชื่อมั่นของมนุษย์สามัญและจิตแม้ถูกห้ามและลงโทษเป็น"counter - ปฏิวัติ"กิจกรรม ทางต่อไปนี้จากการเสียชีวิต RJ Rummel ของรัฐบาล [รายการผู้จัดพิมพ์, 1994, pp.186 - 187] บอกเรื่องน่ากลัว :

แน่นอนความรักระหว่างคนอาจไม่ได้รับอนุญาต -- มันรบกวนกับการทำงาน ไม่เพียง แต่มีเพศสัมพันธ์ระหว่างที่ยังไม่แต่งงานที่ต้องห้ามอย่างแน่นอน แต่ในบางสถานที่ที่เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงถูกข่มขู่ด้วยการทำงานสำหรับน้อยได้ตามที่จับมือกัน
ชีวิตครอบครัวปกติรวมทั้งความรักและความเศร้าโศก, เป็นไปไม่ได้ในบางหมู่บ้าน เด็กถูกนำออกไปจากพ่อแม่ของพวกเขาอยู่อาศัยและทำงานใน brigades แรงงาน ถ้าพวกเขาเสียชีวิตจากความเมื่อยล้าหรือโรคซึ่งไม่มากพ่อแม่ของพวกเขาจะได้รับการแจ้งในที่สุด ณ จุดอารมณ์สิ่งที่ผู้ปกครองอาจหมายถึงการมีชีวิตหรือเสียชีวิตนี้ ถ้าพวกเขาร้องไห้หรือแสดง unhapppiness รุนแรงในครั้งนี้แสดงความเห็นอกเห็นใจเกี่ยวกับชนชั้นกลาง หลังจากเด็ก ๆ ของพวกเขาเสียสละตัวเองเพื่อการปฏิวัติและพ่อแม่ควรจะภาคภูมิใจไม่พอใจ ในทำนองเดียวกันภรรยาแสดงความเศร้าสลดกว่าสามีรัน -- ศัตรูของการปฏิวัติ -- ได้อย่างชัดเจนวิจารณ์เขมรแดง พระราชบัญญัตินี้ยกโทษให้ไม่ได้ของความเห็นอกเห็นใจและความแตกต่างกันอาจหมายถึงการเสียชีวิต
เรื่องของ Bunheang อึ้งก่ำแสดงให้เห็นอันตรายของความรู้สึกปกติ ในธันวาคม 1977 กลุ่มงานของเขาถูกส่งไปทำงานในหมู่บ้านภูมิ Maesar พระจันทร์ Coindidentally, ป้าของที่เขาชอบมากของเขาอาศัยอยู่ที่นั่นและเขาไม่เคยเห็นมาเป็นบางครั้ง
เมื่อเขาได้พบกับเธอก็วันหนึ่งเขามีแรงเอามือของเธอ "ฉันลืมคุณจะเห็น,"บุญมาอธิบาย "ฉันพลาดของเธอและผมยินดีที่จะเห็นเธอ." ทันที cadre เขมรแดงตะโกนไปที่เขา ป้าบุญทิ้งมือของเขาและกระโดดออกไป แต่อาชญากรรมมีความมุ่งมั่น การประชุมของกลุ่มบุญของ [ทำงาน] ถูกเรียกทันทีเพื่อจัดการกับการละเมิดกฎที่ร้ายแรงนี้ เป็นบุญหลาย [SIC] วิจารณ์สำหรับความล้มเหลวของเขาในการพัฒนาคุณธรรมปฏิวัติ การกระทำของเขาพิสูจน์ว่าเขาล้มเหลวในการเปลี่ยนโหมดของเขาคิดและไม่สามารถละทิ้งคุณธรรมความเสียหายของระบบการปกครองเก่า มันเป็นค่าใช้จ่ายที่ร้ายแรงที่สุด บุญขอโทษ ผู้นำกลุ่มของเขาแนะนำให้เขาเปลี่ยนวิธีการของเขาหรือเขาจะต้องได้รับโทษอย่างรุนแรงที่สุด บุญมีสิ่งที่ต้องขอให้ลงโทษว่าจะไม่มี แม้แต่การโทรของภรรยาหนึ่งโดยการแสดงความรักบางคำของถูกห้าม Haing ง ได้รับการได้ยินการทำเช่นนี้โดยสายลับผู้ที่ยังมีรายงานว่าเขาได้กินอาหารที่เขาเลือกมากกว่านำมารับประทานอาหารในชุมชน สอบสวนเกี่ยวกับความผิดเหล่านี้เขาได้บอกว่า"chhlop [สายลับ] บอกให้ว่าคุณโทรภรรยาของคุณหวาน.' ขณะนี้มี'Sweethearts'ไม่มีที่นี่. นั่นเป็นที่ต้องห้าม. เขาก็ถูกนำไปทรมานนักโทษที่ซึ่งเขาได้อย่างเฉพาะตัว [SIC], มีลายนิ้วมือและขวานตัดข้อเท้าหั่นบาง ๆ กับ เขาแทบไม่รอด
ถึงแม้ว่าความโหดร้ายและความชั่วร้ายของเหตุการณ์เหล่านี้เกือบ defies ความเชื่อ (และไม่เชื่อว่าโดยมากจนเวียดนามสัมผัสพวกเขาเพื่อจุดประสงค์ของตัวเอง) พวกเขาแตกต่างเฉพาะในการศึกษาระดับปริญญาไม่ได้อยู่ในประเภทหรือในหลักการจากระบบการปกครองที่จัดตั้งขึ้นโดยเลนินและ สตาลินในรัสเซีย การเมืองคำดังกล่าว -- กลัว -- สามารถกู้ยืมเงินจากนโยบายที่คล้ายกันในระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อ Robespierre โผงอ้างว่ากลัวเป็นอาการโดยตรงของคุณธรรม :"กลัว แต่ให้มิใช่, รุนแรง, ความยุติธรรมไม่อ่อนมันจึงเป็น การกำเนิดของคุณธรรม.
ตัวอย่าง ของหลักการที่คล้ายกันบุกรุกสังคมเสรีและของสุนทรียศาสตร์ปะทะกันทางการเมืองระหว่าง moralism และจะอภิปรายอย่างต่อเนื่องใน การเคลื่อนไหว มากกว่าแนวโน้มที่ยาวนานในการปฏิเสธใด ๆ วัฒนธรรมแบบดั้งเดิมหรือเน้นความงามส่วนบุคคลในเพศหญิงเป็นเรื่องการลดค่าการทับถม,, หรือ"การทำให้แลเห็น"ของผู้หญิงหรืออย่างน้อยเป็นเครื่องล่อใจจากวัตถุประสงค์อย่างสวยหรู ด้านตรงข้ามของการอภิปรายมีการโต้เถียงในตำนานความงามโดยนาโอมิ Wolff, ที่เห็นความงามของการเฉลิมฉลองเป็นส่วนหนึ่งของการสมรู้ร่วมคิด misogynistic และเมื่อเร็ว ๆ นี้สตรีนิยมทางการเมือง backlash - anti (แต่เธอตอนนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงใจของเธอค่อนข้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ หนังสือเล่มต่อมาไฟไหม้ด้วยไฟ) และ Camille Paglia [เป็นในทางเพศชื่อตัว, เหนือ ] ผู้ปกป้องทางการเมืองศิลปะฟรี, สุนทรียศาสตร์, แฟชั่น, การโฆษณา, สื่อลามกและอื่น ๆ , มีผล, เอกราช polynomic ของความงามและความสุข
รบกวนมากยิ่งขึ้นกว่าการระงับความรู้สึกสตรีนิยมเป็นหลักคำสอนในขณะนี้การล่วงเกินทางเพศ"กฎหมาย"ว่าภาพทางเพศและการเสียดสีในที่ทำงานแม้ในกรณีที่คนหนึ่งเพียงภรรยาเก็บภาพของเขาสวมใส่ชุดอาบน้ำ, บนโต๊ะทำงานของเขาเป็นการ "สภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร"เพื่อคนงานหญิง ภาพทางเพศอาจจะไม่พอใจหรือรบกวนบางอย่างหรืออย่างน้อยทำให้เสียสมาธิเช่น Goya 's Naked Maja ในชั้นเรียนเพื่อที่บางอาจารย์สตรีนิยมคัดค้าน แต่นี้ซึ่งเป็นเรื่องความงามและส่วนบุคคลของการตั้งค่าเช่นดิสนีย์แลนด์นโยบายต่อ beards (, มาคิดว่ามันเสียงเหมือนสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรสำหรับเพศชาย), ไม่เป็นปรปักษ์ ความคิดเป็นอย่างยิ่งที่เพศหมายถึง"ความเป็นปรปักษ์"เพื่อสตรีคือระดับของ anhedonia ที่ไม่น่าแปลกใจมาจากชายขอบผู้ลัทธิหัวรนแรงของสตรีนิยมเช่น Catharine MacKinnon และ Andrea Dworkin, สำหรับผู้ที่ปกติคือเพศเพศตรงข้ามไม่เพียง แต่อยู่แล้วอึดอัดใจข่มขืนคน . ว่ามุมมองดังกล่าวท้ายได้รับการยอมรับเป็นที่ดินของกฏหมายโดยไม่ต้องสีทั่วไปและร้องไห้และไม่ต้องรับรู้ว่า MacKinnon และ Dworkin มีปัญหาทางอารมณ์คนเป็นพยานในบาง confusions ลึกในการอภิปรายสาธารณะและค่านิยมทางการเมือง [ หมายเหตุ ] มันเป็นสถานที่ทำงานของ sexlessness ทรมานและยับยั้งผิดธรรมชาติที่จะแสดงหลักฐานของการเป็นศัตรู -- เป็นศัตรูกับชีวิตตัวเอง
ได้มี feminists - การเด่นวนหลายใบหน้าที่โดดเด่นมากโดยในเชิงสำนวนนี้และแม้ในที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้และหลักกฎหมายที่มีอยู่เมื่อประธานาธิบดี บิลคลินตัน ถูกกล่าวหาว่าสนิทใจไม่เพียง แต่การล่วงละเมิดทางเพศโดยพอลล่า Jones, แต่แม้กระทั่งการติดต่อทางเพศและการใช้กำลังบังคับ การข่มขืนโดยคนอื่น ๆ และไม่สามารถคาดหวัง แต่ที่นี้เป็นข้อยกเว้นใด ๆ ในทางการเมืองมากกว่าสมควรและหลอกลวงกับทฤษฎีก่อนหน้านี้ ไม่มี apologists คลินตันได้แนะนำใด ๆ ของการปฏิรูปกฎหมายที่ใช้บังคับหรือหลักการ
ขณะที่เป็นแนวโน้ม ของ Wolff และอื่น ๆ เพื่อนำเสนอเน้นความงามเป็นปรากฏการณ์ที่ผ่านมาและเวสเทิร์ -- เป็นส่วนหนึ่งแท้จริงของ blacklash อนุรักษ์นิยมของ 80 ของ (แม้ว่าจะแปลกค่อนข้างพิจารณาต่อต้านพันธมิตรของ - porn feminists กับการต่อต้านการ - porn อนุรักษ์นิยม) -- นี้ไม่ได้อธิบายรายประวัติศาสตร์และข้ามวัฒนธรรมเช่นชื่อของอียิปต์โบราณที่มีชื่อเสียง Queen Nefertiti ซึ่งหมายความว่า"สวยได้มาหนึ่ง"หรือชื่อเดิมของสาวฮาวายเช่น"Haunani"ซึ่งหมายถึง "สวยมาก"หรือ ตัวอักษรจีนที่เขียนตัวอักษรสำหรับ"ผู้หญิง"สองครั้งเพื่อหมายถึง"หล่อ"หรือ"สวย." เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของ contasting ผู้หญิงกับความงามของอาชีพการต่อสู้ของคนอาจจะพบได้ในอินเดียมหากาพย์ยิ่งใหญ่, มหาภารตะ . ที่นี่เจ้าหญิง Draupadî, สำหรับผู้ที่ฮีโร่ Arjuna จะแข่งขันใน"ตัวเลือกเจ้าบ้า"และพี่ชาย Dhr.stadyumna, เธอทั้งสองคนได้อย่างปาฏิหาริย์เกิดจากไฟไหม้แท่นบูชา, มีคำอธิบาย :


หญิงสาวที่คะนองกับตาเหมือนกลีบดอกบัวและร่างกายไร้ที่ติน่ารักและละเอียดอ่อนเป็นลูกสาวของดีคะนอง Yajñasena Drupada และเธอเกิดจากกลางแท่นบูชา เธอเป็นน้องสาวของอันยิ่งใหญ่และตระหง่าน Dhr.stadyumna, ฝ่ายตรงข้ามของ Dron.a ที่เกิดสวมเกราะ, ดาบ, ธนูและลูกศรจากไฟที่ลุกโชติช่วงและจะรุ่งโรจน์เหมือนไฟไหม้ น้องสาวของเขา Draupadî ของแขนขาไร้ที่ติและเอวเรียวยาวสีฟ้าที่มีกลิ่นหอม wafts เท่าที่ลีก, Yajñasena ลูกสาวของเจ้าบ้าวเป็นโฮลดิ้งทางเลือกของเธอบัว
[มหาภารตะ, Vol I, หนังสือการเริ่มต้น, มหาวิทยาลัยกด Chicago, 1973, p. 347; ภาพเป็นของสุดยอดซูเปอร์ Yasmeen Ghauri ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของปากีสถานและครึ่งหนึ่งของแคนาดาเยอรมัน คลิกรูปถ่ายเพื่อ 107K ไฟล์.]
หากต้องการยาชา, นิสัยผู้หญิงสอนศีลธรรม, ทางนี้เป็นตัวอย่างที่คลาสสิกของการรังเกียจผู้หญิง : สิ่งที่น่าสังเกตเกี่ยวกับ Draupadî เป็นของเธอทางร่างกาย กลิ่นหอมที่สมบูรณ์แบบและแม้กระทั่งในขณะที่พี่ชายของเธอคือ"ช่วงโชติ"ร่วมกับเหมาะกับวันเกิดของเขาผิดปกติมากและทหาร ในทางกลับกัน, รูปปั้นกรีกคลาสสิกอย่างน่าที่แหล่งที่มาของอารยธรรมตะวันตกให้ความสำคัญเกือบทั้งหมดในความงามของภาพเปลือยชาย; และเป็นที่ถกเถียงได้ว่า nudes หญิงภายหลังได้แรงบันดาลใจจากอียิปต์หรืออื่น ๆ แหล่งตะวันออกกลาง พันหนึ่งคืนสามารถโดดเด่นสำหรับการเน้นความเท่าเทียมกันในความงามมันทำให้ทั้งชายและหญิง มีเรื่องราวที่ญินค้นพบเยาวชนที่สวยที่สุดและหญิงสาวที่สวยที่สุดและทำให้พวกเขาอยู่ด้วยกันนั้น ดังนั้นความงามเพศหญิงเป็นสิ่งที่แทบจะไม่เฉพาะเมื่อเร็ว ๆ นี้หรือตะวันตก แต่ในประเพณีตะวันตก, ชนิดของการเกี่ยวกับกาม, ลามกจริงๆแล้วรูปเขียนของ nudes เพศชายซึ่งสามารถพบได้บนจานกรีกและไห, เพิ่งได้รับการฟื้นฟูในการส่งออกใหญ่ของสื่อลามกเกย์, แม้ในขณะที่ feminists จำนวนมากได้รับการโต้เถียงที่ สื่อลามกทั้งหมด (ซึ่งพวกเขาดูเหมือนจะคิดเท่านั้นแสดงให้เห็นหญิงหรือชายเกย์สอดคล้องกับภาพลักษณ์ misogynistic) ควรได้รับการพิจารณา"สิทธิมนุษยชน"ความผิดต่อผู้หญิง
ในขณะเดียวกันบางโดดเด่นมากที่สุดเมื่อเร็ว ๆ นี้"ขาขึ้น"งานศิลปะของ nudes หญิงได้รับการกระทำโดยผู้หญิงชอบ Olivia de Berardinis (เช่นให้พวกเขากินชีส, Olivia ศิลปะของโอโซน Productions, 1993) เป็นโมเดล, โอลิเวียมีผู้หญิงมักจะใช้เช่น Pamela Anderson และจูลี่สายพันธุ์ที่มีแทบจะไม่เป็นแบบอย่างสตรีนิยม (Anderson แม้ใช้นามสกุล"ลี"เมื่อเธอได้แต่งงานกับสามีของเธอที่ไม่เหมาะสมบางครั้ง) แต่ที่ทำไม่ต้องสงสัย, ดูดี
ในบริบทศิลปะหรือมืออาชีพก็จะแดกดันสำคัญในขณะนี้ว่าส่วนมากของผู้ที่เกี่ยวข้องมากที่สุดกับความงามของเพศหญิงในอุตสาหกรรมแฟชั่นและส่วนใหญ่ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับความงามของเพศชายในสิ่งที่บริบทที่คาดว่าจะเป็น ชายรักร่วมเพศ (เป็น Whoopi Goldberg, ใส่อยู่ในใบหน้าขาวเป็น Queen Elizabeth I, ติดตลกที่ 1999 รางวัลออสการ์"ฉันคิดว่าเราทุกคนจะได้ทำผมของเรามากพอที่จะรู้ว่าคุณจะไม่สามารถวิ่ง Queen") ในขณะเดียวกัน, เลสเบี้ยนอนุมูลอิสระและ feminists สอนศีลธรรมที่ดูเหมือนแทบจะไม่สังเกตได้จากพวกเขามักจะดูเหมือนจะเป็นบางส่วนของคนส่วนใหญ่ยาชา militantly ในอารยธรรม มีการทำปฏิกิริยากับว่าแม้ในชุมชนเลสเบี้ยนซึ่งขณะนี้เรามีปรากฏการณ์"เลสเบี้ยนลิปสติก,"ผู้ที่หลงระเริงในทุกแบบดั้งเดิมของกระจุกกระจิกของผู้หญิงความงาม -- และคู่ของสตรีดังกล่าวสามารถทำให้ชีวิตดีตอนนี้เพียงแค่ ขายวีดีโอของการจีบของตัวเองเพื่อแฟนชาย [ตลกสูตรที่ยังสามารถใช้ได้แสงที่ไม่อนาจารของระดับ -- ดู Kissing Jessica Stein ]
เช่นความไม่พอใจสำหรับนี้และลากมีสีสันสำหรับราชินี RuPaul , ของ feminists ยาชาและเลสเบี้ยน แต่ต้องอ่อนอยู่ด้านข้างรู้สึกไม่สบายที่พวกเขาต้องรู้สึกกับบางชนิดศิลปะเกย์ : ที่เดียวในวัฒนธรรมที่ผ่านมาซึ่งความเกลียดชังผู้หญิงโดยทั่วไปนอกเหนือจากการวิจารณ์สตรีนิยม อยู่ในชุดรูปแบบศิลปะกับชายเกย์ เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการเฉลิมฉลองนี้ถูก 1992 ภาพยนตร์ Crying เกมที่เพียงตัวละครหญิงน่ารักจะเปิดออกจะชาย หญิงจริงในหนังได้ไม่น่าไว้วางใจ, ทุจริตหรือการฆาตกรรมทางบวกและความชั่วร้าย ตามปกตินี้จะมีขึ้น howls ของการประท้วงการสาธิตและการคว่ำบาตรแม้ แต่ผู้แสดงความคิดเห็นและนักวิจารณ์แทบจะไม่ลำบากในการแจ้งให้ทราบลักษณะของภาพยนตร์ที่ เพราะของชุดรูปแบบเกย์ของมันก็คือเหนือประณาม, สิ่งอื่นที่อาจได้รับการพูดหรือทำ นอกจากนี้ยังมีกรณีที่อยากรู้อยากเห็นของโรเบิร์ตปลายศิลปิน Mapplethorpe ซึ่งมีภาพของความเป็นทาส homoerotic, สะเดาะ masochism, ความอัปยศอดสูและแม้แต่เลือดให้เป็น counterexamples เพื่อวิทยานิพนธ์สตรีนิยมที่แสดงออกเรื่องเพศชายเหล่านี้เมื่อที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงมีแรงจูงใจโดยการ ความเกลียดชังผู้หญิง ความเกลียดชังผู้หญิงจริงจึงถูกมองข้ามหลักฐานในขณะที่เรื่องเพศชายไม่ได้โดยทั่วไปยังหนี misogynistic แจ้งให้ทราบล่วงหน้า พันธมิตรทางการเมืองระหว่างการเคลื่อนไหวและ"เกย์"สิทธิ (ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับ สิ้นสุด สิทธิในทรัพย์สินและสมาคมอาสาสมัคร) ดูเหมือนว่าหลักคำสอนสำคัญกว่าสตรีนิยมเกี่ยวกับศิลปะการปกครองฉันพ่อกับลูก, และแม้กระทั่งความเกลียดชังผู้หญิง แต่ยังปิดอะไรการประเมินผลการอื่น ๆ ที่ทางเพศของเกย์อาจ เปิดเผย
ส้นเป็นที่นิยมกับผู้หญิงเพราะพวกเขาเพิ่มมากขึ้นกว่านิ้ว รุ่น Veronica Webb วางไว้ตามตรง : ใส่รองเท้าส้นคือ"ต้องการวางบนแท่น ass." Balancing อย่างน่ากลัวในลูกของเท้าของพวกเขาสวมใส่รองเท้าส้นผู้หญิงแรงที่จะโยนกลับไหล่ของพวกเขาและโค้งหลังของพวกเขาทำให้ดูหน้าอกของพวกเขาใหญ่, อี๋ท้องของพวกเขาและก้นของพวกเขามากขึ้นมนและแรงผลักดันออก และนี่เป็นเพียงนอกเหนือจากสิ่งที่พวกเขาทำเพื่อรูปร่างของขาซึ่งจะปรากฏขึ้นกระชับ, ยาว, และจดจำรูปทรงของขา tensed โดยความเร้าอารมณ์

ตาม Harper 's ดัชนีเพิ่มขึ้นเฉลี่ยในก้นแลบของผู้หญิงของเมื่อเธอสวมรองเท้าส้นสูงเป็นร้อยละ 25. [ลินดา O'Keeffe, รองเท้า, การเฉลิมฉลองของปั๊ม, รองเท้า, รองเท้าและอื่น ๆ , คนงาน Publishing, New York, 1996 , p ] 127.
การเคลื่อนไหวไม่เพียง แต่ในวงกว้างมากหลักการของความถูกต้องทางการเมืองขณะนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อกฎหมายและการศึกษา. ภาษาตำรวจ, วิธีดันกลุ่มนักเรียนได้เรียนรู้อะไร จำกัด โดย Diane Ravitch [Alfred A. Knopf, 2003] รายละเอียดผลกระทบของมาตรฐานการเมือง ในการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาษา ที่สามารถใช้ประเด็นที่สามารถ addressed, และความจริงที่ต้องบิดเบือนเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดทางการเมือง ตัวอย่างยิ่งใหญ่ในบรรดาหลายทางที่มีอยู่โดยเฉพาะการระงับความรู้สึกทางการเมืองที่จะพบใน anthologies วรรณคดีคือ
เซ็นเซอร์บิดเบือน cirriculum วรรณกรรม, แทนการตัดสินใจทางการเมืองสำหรับคนสุนทรีย์ เพราะอคติและแนวทางเนื้อหาสังคม, บรรณาธิการของ anthologies วรรณกรรมต้องให้ความสำคัญกับการมีการนับที่ถูกต้องของกลุ่มเพศและกลุ่มชาติพันธุ์ในหมู่ตัวอักษร, ผู้เขียนของพวกเขาและภาพประกอบกว่าที่พวกเขาทำคุณภาพของการเลือกวรรณกรรม เจ้าหน้าที่ของรัฐการศึกษาอย่างรอบคอบกลั่นกรองอดีตและไม่สนใจหลัง เมื่อไม่นับคุณภาพของวรรณกรรมอีกต่อไปเกือบทุกอย่างสามารถรวมอยู่ใน anthologies วรรณกรรมเช่นสคริปต์โทรทัศน์, เรียงความนักเรียน, โฆษณา, และ ephemera อื่น ๆ ในขณะที่หุ้น indisputably นักเขียนสำคัญเท่ากับการเรียกเก็บเงินกับผู้สร้างงานที่จะไม่เป็นที่รู้จักกันนอกอุตสาหกรรมตำราเรียน เงียบ ๆ แต่อย่างหลีกเลี่ยงไม่สิ่งที่เราพิจารณามรดกทางวรรณกรรมของเราครั้งเดียวหายไปจากโรงเรียน [p.160]
แนวโน้มของ moralism ทางการเมืองคือการ orthodoxy ทางการเมืองในแง่ที่มีค่าความงามเป็นรองที่ไม่เกี่ยวข้อง -- หรือแม้กระทั่งที่ไม่เหมาะสม เป็นบันทึก Ravitch, นี้สร้างผลงานที่ไม่เพียง แต่ aesthetically ไม่ดี แต่ก็น่าเบื่อ นักเรียนไม่เพียง แต่หาวัสดุ stupifying แต่คนที่คมชัดยิ่งขึ้นมักจะตระหนักถึงและไม่ซื่อสัตย์ของ tendentiousness หลังจากที่ชนะสงครามเย็นสหรัฐอเมริกาตอนนี้จัดการในการทำซ้ำอาจไม่ ได้ตั้งใจ , โซเวียตวิสัยทัศน์ของการศึกษาเป็นการปลูกฝังทางการเมือง
พันธุ์ของ Moralism
จริยธรรมของเสียงหัวเราะโดย FH Buckley, มหาวิทยาลัย Michigan Press, 2003
เร้าอารมณ์เป็นหมวดหมู่ความงาม
ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของ Moralism จริยธรรมและสุนทรียศาสตร์

Pages เรื่องประเด็นสตรี

นิสัยผู้หญิง
กับ"ทฤษฎีของคนรังเกียจผู้หญิง"ภาษา
กลาโหมของ Christina Hoff Sommers ตีพิมพ์ในการดำเนินคดีและที่อยู่ของอเมริกันปรัชญาสมาคม, 66:7

การแท้ง
ภาพพจน์เพศและต้นแบบทางเพศ
สื่อลามก
ผู้หญิงใน
คำขอโทษ
War Against Boys, วิธีการเข้าใจผิดสตรีนิยมทำร้ายชายหนุ่มของเราโดย Christina Hoff Sommers, Simon & Schuster, 2000





การเข้าใจผิดของ Moralism, 1 หมายเหตุ
ความเกรียวกราวกว่ากะเหรี่ยง Finley ขณะนี้ล่องลอยในประวัติศาสตร์และผู้อ่านจำนวนมากอาจจะไม่รู้จักชื่อของเธอ Finley จะอยู่ในความอับอายขายหน้าในจารีตนิยมในการใช้สิทธิ์ของตัวเองจากชาติประกันชีวิตสำหรับศิลปะ, ย้อนกลับไปใน s '80', การทำชิ้นงานศิลปะการแสดง : เธอปรากฏบนเวทีในเปลือยน้ำเชื่อมช็อคโกแลต, smeared บนร่างกายของเธอและเชิญผู้ชม สมาชิกเลียออก คัดค้านค่อนข้างเหมาะสมของหลักสูตรคือเหตุผลที่ผู้เสียภาษีเงินควรจะใช้จ่ายในสิ่งที่ต้องการนี้ซึ่งหลาย ๆ คนจะพิจารณาความไม่พอใจหรือหยาบคาย จุดประสงค์ของตัวเอง Finley ในชิ้นถูก muddied เมื่อเธอมาปรากฏตัวในกรกฎาคม 1999 ปัญหาของนิตยสารเพลย์บอย การกระทำเดิมดูเหมือนจะโกรธมาตรฐาน สตรีนิยม เลียนแบบหรือส่งขึ้นของ"การทำให้แลเห็น"ของร่างกายของสตรีหรือเป็นบทความ Playboy ตัวเองกล่าวว่า"การย่อยสลายสัญลักษณ์ของ." แต่ปรากฏในภาพเปลือยในนิตยสารเพลย์บอยโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Bill Maher ส่วนตัวเลียช็อคโกแลตปิดตัวเองของเธอจะแทบจะไม่ได้โกรธ interpretated โดยสตรีนิยมมาตรฐานการส่ง"ข้อความขวา"และ Finley สารปัญหาโดยที่ปรากฏไม่เพียง แต่ใน ช็อคโกแลตเครื่องหมายการค้าของเธอ แต่โดยไม่ได้นอกจากนี้ในบางมาตรฐาน Playboy เปลือย poses เธอไม่ได้ดูโดยเฉพาะอย่างยิ่งโกรธหรือสตรีนิยมและแน่นอนเป็นผู้หญิงที่ดูดีมาก -- บริสุทธ์และสนุก -- น้อยรองลงมาจากเพื่อนเล่นใด ๆ นี้ถูกพัฒนาอยากรู้อยากเห็นในประวัติศาสตร์ของศิลปะการแสดงทางการเมือง
การเข้าใจผิดของ Moralism, 2 หมายเหตุ
________________________________________
Haing ง (1940-1996) เป็นแพทย์ชาวกัมพูชาที่มีประสบการณ์บางส่วนที่เลวร้ายที่สุดของ Terror กัมพูชา, หนีไปกัมพูชาในปี 1979 เขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาแล้วได้รับรางวัลออสการ์สำหรับการสนับสนุนที่ดีที่สุดสำหรับนักแสดงภาพยนตร์ 1984 เขตข้อมูลฆ่า น่าเศร้าที่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ปี 1996 งถูกฆาตกรรมโดยสมาชิกแก๊งเอเชียในขณะที่ออกหดของ Los Angeles พาร์ทเมนท์ของเขา ฆ่าดูเหมือนจะได้รับส่วนหนึ่งของการปล้น แต่ข่าวลือมาประกอบมันจะตีโดย sympathizers คอมมิวนิสต์ มันยากที่จะเชื่อว่าจะมี sympathizers คอมมิวนิสต์ในการดำเนินงานดังกล่าวชุมชน expatriot แต่ก็เป็นที่ชัดเจนที่วิทยาเขตมหาวิทยาลัยของอเมริกาที่รุ่นที่ไม่เคยรู้ว่าคอมมิวนิสต์เป็นสิ่งที่ชอบกลับบ้านได้อย่างง่ายดายสามารถจัดหา recruits วิทยาเขตสำหรับอนุมูลจาก
การเข้าใจผิดของ Moralism, 3 หมายเหตุ
________________________________________
การแสดงตนของ MacKinnon ในสื่อดูเหมือนจะอยู่ ๆ ก็หายไปไม่กี่ปีที่ผ่านมาและมันเป็นเพียงตอนนี้ฉันตระหนักดีว่ามันอาจจะเป็นเพราะการสนับสนุนของเธอคดีพอลล่า Jones MacKinnon กล่าวว่า"เมื่อพอลโจนส์ฟ้องบิลคลินตัน, การครอบงำชาย quaked." นี้ก็จะไม่ได้ endeared เธอ feminists อื่น ๆ ผู้หลังจากลังเลเล็กน้อย, โมฆะ (ชั่วคราว) หลักการของพวกเขาทั้งหมดที่ระบุไว้ในระยะยาวเพื่อป้องกันการเป็นพันธมิตรทางการเมือง แท้จริงในขณะที่ฉันไม่ได้ฟังความเห็นของ MacKinnon นอกจากนี้ในขณะที่ feminists ดั้งเดิมไม่มีความรักโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสื่อลามก, พันธมิตรเปิดของ MacKinnon และ Dworkin กับอนุรักษ์นิยมทางศาสนา (ชิงชัง"ศาสนาขวา") เกี่ยวกับเรื่องนี้ทำหลายอย่างน้อย, อึดอัด Dworkin ตัวเองได้รับความสนใจมากขึ้นจากความตายก่อนวัยอันควรของเธอ (มีอายุ 58) ในปี 2005 กว่าทั้งคู่จะมีการรวบรวมมา




น.ส กรรณิกา แสงชาติ 51137-0104
กลุ่ม 511


....